บทที่ 4 ยกเครื่องระบบราชการ

การเปลี่ยนใหญ่ประเทศไทยด้านที่สาม ซึ่งสำคัญไม่น้อยกว่าสองด้านแรก ที่จะช่วยทำให้ประเทศไทยมีความสามารถที่จะปรับตัวให้รับมือกับความผันผวนต่างๆ จาก The Great Disruption ได้อย่างเหมาะสม ทันเวลา ก็คือ “การยกเครื่องระบบราชการ” ซึ่งรวมไปถึง การปรับเปลี่ยนกระบวนการ ตัดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น สะสางกฎหมาย ระเบียบ ข้อกำหนดที่ล้าสมัย ตลอดจนลดขนาดระบบราชการและพัฒนาคุณภาพของข้าราชการ ซึ่งทั้งหมดจะช่วยลดภาระ ลดอุปสรรค ลดต้นทุนแฝง ปลดปล่อยศักยภาพของประเทศไทย ทำให้ภาคเอกชนไทยสามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนและกำหนดนโยบายที่สำคัญ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ทำให้เกิด ระบบ Digital Government ซึ่งเปิดโอกาสครั้งสำคัญ ที่จะนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการยกเครื่องระบบราชการไทยต่อไป

สิ่งที่น่ากังวลใจอย่างยิ่งสำหรับระบบราชการไทย ก็คือการที่ดัชนีสำคัญ ๆ ซึ่งใช้เปรียบเทียบมิติต่าง ๆ ของระบบราชการของประเทศ เช่น ดัชนี Corruption Perception Index ของ Transparency International พบว่า ไทยถูกจัดอยู่ที่อันดับ 108 จาก 180 ประเทศ จากเดิมอยู่อันดับที่ 88 เมื่อ 10 ปีที่แล้ว (รูปที่ 25) นอกจากนี้ ดัชนีนิติธรรม Rule of Law Index ของ World Justice Project ของประเทศไทย อยู่อันดับที่ 82 จาก 142 ประเทศ จากเดิมเมื่อ 8 ปีที่แล้ว อยู่ที่อันดับ 56 จาก 102 นอกจากนี้ การสำรวจของ World Economic Forum ที่สอบถามผู้บริหารระดับสูงของภาคเอกชนเมื่อปี 2560 ในสิ่งที่ผู้บริหารเหล่านี้กังวลใจที่สุดเกี่ยวกับการทำธุรกิจในไทย พบว่า 2 ใน 5 อันดับแรก คือ ความไม่มีประสิทธิภาพของระบบราชการ และปัญหาคอร์รัปชั่น

สำหรับประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการปฏิรูประบบราชการ เช่น สิงคโปร์ ซึ่งมีข้าราชการที่มีคุณภาพ มีระดับคอร์รัปชั่นต่ำ มีระบบกฎหมายที่เป็นสากล สามารถนำระบบรัฐบาลดิจิทัลมาใช้ พร้อมกับเร่งนำระบบ AI มาช่วยยกระดับการให้บริการประชาชนของภาครัฐ และลดต้นทุนในการทำธุรกิจและการใช้ชีวิตของประชาชน สิงคโปร์ได้นำจุดแข็งเหล่านี้มาใช้เป็นแม่เหล็กในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ในการชักชวนบริษัทข้ามชาติต่าง ๆ มาใช้สิงคโปร์เป็นที่ตั้งของ Regional Headquarters ตลอดจนในการจูงใจให้บริษัทต่าง ๆ เลือกใช้สิงคโปร์เป็นที่จดทะเบียนบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ Startups ซึ่งนำมาซึ่งการยกระดับ Talents และ Technologies จนทำให้สิงคโปร์สามารถก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีรายได้สูงสุดประเทศหนึ่งของโลก

“การยกเครื่องระบบราชการ เป็นหัวใจสำคัญในการปลดปล่อยศักยภาพของประเทศ และช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนในระบบเศรษฐกิจโลก”

ส่วนประเทศไทย ระบบราชการและกฎหมายของเราเป็นหนึ่งในจุดอ่อนสำคัญที่สร้างภาระและเพิ่มต้นทุนให้กับประชาชนและภาคเอกชน ตลอดจนเป็นข้อจำกัดในการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ของภาครัฐไทย โดยกระบวนการทำงานของระบบราชการไทยในปัจจุบัน ได้เพิ่มขั้นตอน เพิ่มระยะเวลา เพิ่มค่าใช้จ่าย ทั้งยังขาดระบบ One Stop Service ที่แท้จริง สร้างความซับซ้อนให้กับการติดต่อระบบราชการของประชาชนและผู้ประกอบการ ที่บ่อยครั้งต้องติดต่อหลาย ๆ หน่วยงานในเรื่องเดียวกัน บ่อยครั้งนำไปสู่ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น และกลายเป็นต้นทุนแฝงของภาคธุรกิจเอกชน

ในอีกด้าน กฎหมายหลัก กฎหมายรอง กฏกระทรวง ระเบียบ ข้อบังคับจำนวนมากของไทย ที่ล้าสมัย ที่ตกยุค ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงให้ทันกับโลกที่กำลังรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบันหลายฉบับ เป็นอีกข้อจำกัดสำคัญของไทย ที่ทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปด้วยความยากลำบาก นับแต่การเปิดธุรกิจ การขอใบอนุญาตต่าง ๆ ที่ต้องมีการแยกขอตามกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งข้อจำกัดในการทำธุรกิจจากกฏหมายที่ได้บังคับใช้มา 50-60 ปีเหล่านี้ บางส่วนได้กลายเป็นข้อจำกัดของประเทศในการก้าวขึ้นสู่ยุค Digital ที่ไม่ต้องการสำเนากระดาษ ยุค Globalization ที่ปัจจัยการผลิตสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี และเลือกที่จะลงทุนในพื้นที่ที่มีกฏระเบียบที่เป็นสากลเป็นหลัก (รูปที่ 26)

ท้ายสุด คุณภาพของข้าราชการซึ่งเป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของภาครัฐ ตัดสินใจเรื่องการลงทุนใช้จ่ายงบประมาณในแต่ละปี ตลอดจนการอนุมัติอนุญาตในเรื่องต่าง ๆ ให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ จะเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จของการปรับตัวในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น การที่ระบบราชการไทยมีปัญหาในการดึงดูด Talents เข้าไปเป็นข้าราชการยุคใหม่ ท้ายที่สุดแล้ว จะนำมาซึ่งปัญหาในระยะยาว ในเชิงคุณภาพของยุทธศาสตร์ คุณภาพของนโยบาย ที่สำคัญที่สุด คือ คุณภาพของการ Execution ที่ทำให้การขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติของภาครัฐมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ต่ำ ต้องใช้งบประมาณที่มากกว่าความจำเป็น