การเปลี่ยนใหญ่ประเทศไทยด้านสองที่เราต้องทำให้สำเร็จ เพื่อพร้อมรับมือและหยิบฉวยโอกาสจาก The Great Disruption ที่กำลังเกิดขึ้น ก็คือ การเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจแห่งอนาคต โดยมุ่งสู่อุตสาหกรรม 5.0 นำ AI มาประยุกต์ใช้ในการผลิต การให้บริการ การตลาด และการทำธุรกิจ รวมทั้งปรับเปลี่ยนไปสู่การเป็น Low Carbon Economy โดยรัฐมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการระดมสรรพกำลัง เร่งดำเนินการขับเคลื่อนเรื่องการ “ผลัดใบเศรษฐกิจ” เปลี่ยนเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่ใช้มาเป็นเวลานานกว่า 30-40 ปีให้ทันสมัย รับกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในตลาดโลก ลดผลกระทบ จากการที่หลายอุตสาหกรรมของไทยได้เริ่มเข้าสู่ช่วงขาลง มีโอกาสในการเติบโตต่อไม่มาก ประสบปัญหาความแข่งขันในตลาดโลกและตลาดในประเทศ จนกระทั่งบางส่วนต้องปิดกิจการ ลดการผลิต ทำให้ไทยกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตช้าที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
สิ่งที่น่าสนใจในเรื่อง Technological Disruption ที่กำลังดำเนินอยู่ภายใต้การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่เริ่มขึ้นในช่วงต้นของศตวรรษที่ 21 ก็คือ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เป็นทั้งความท้าทายและโอกาส โดยข้างหนึ่ง นวัตกรรมใหม่ต่างๆ กำลังทำให้อุตสาหกรรมสำคัญของไทย เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เครื่องจักรกล เกษตรแปรรูป ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของไทย เสี่ยงต่อการตกยุค เข้าสู่ช่วงที่ต้องปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ขณะที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทยในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ก็กำลังอยู่ในช่วงขาลง จากปัญหา Global Warming และจากมาตรการที่ประเทศพัฒนาแล้วนำมาใช้ เพื่อลดการปลดปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยายกาศ
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางเทคโนโลยีรอบนี้ นำมาซึ่งโอกาสที่ยิ่งใหญ่ให้กับประเทศและธุรกิจ ซึ่งสามารถใช้ช่วงเวลานี้ ในการค้นคิดนวัตกรรมใหม่ๆ นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้กับกระบวนการผลิตและให้บริการเดิม นำมาสร้างขีดความสามารถใหม่ในการแข่งขัน เพื่อชิงความเป็นผู้นำในตลาดโลกที่กว้างใหญ่ ต่อสู้กับคู่แข่งในประเทศต่างๆ ที่กำลังรีบค้นคว้าและประยุกต์ใช้นวัตกรรมเหล่านี้ ซึ่งทั้งหมดนี้หมายความว่า ธุรกิจและโรงงานผลิตของไทยที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน จะต้องเร่งเข้าสู่ช่วงของการ Transition ไปสู่ 4.0 และ 5.0 เปลี่ยนเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่มีอยู่เดิม นำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้เป็นกระบวนการหลัก เร่งดำเนินการเรื่อง Digital Transformation เพื่อใช้ระบบดิจิทัลประกอบในทุกขั้นตอนของการทำธุรกิจ เน้นการใช้นวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างจุดขายผ่านความแตกต่างของสินค้า รวมทั้งเร่งเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกใหม่ของ Low Carbon Economy ที่ธุรกิจซึ่งไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จะมีที่ยืนในตลาดโลกน้อยลงเรื่อย ๆ
“Technological Disruption เป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย ธุรกิจที่ไม่ปรับตัว ไม่ยอมเปลี่ยน คือ ธุรกิจที่จะเลือนหายไป”
ในโค้งสำคัญของการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ผลพวงของความล้มเหลวในการปรับตัวจะรุนแรงเป็นพิเศษ โดยธุรกิจและประเทศที่ปรับตัวไม่ได้ ไม่ใส่ใจกับการปรับตัว ไม่ยอมตัดสินใจในสิ่งที่ยาก ธุรกิจเหล่านั้นก็จะเลือนหายไป แม้กระทั่งยักษ์ใหญ่เบอร์หนึ่งของตลาดอย่าง Kodak, Nokia, Block Buster ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้นำตลาด แต่อ่านสถานการณ์ผิด ไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับคลื่นการเปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็กลายเป็นเพียงตำนาน กระทั่งประเทศเอง ก็จะประสบปัญหาในการเจริญเติบโต ไม่สามารถแข่งขันได้ ท้ายที่สุดจะค่อยๆ มีความสำคัญลดลง ถูกเพื่อนๆ ทิ้งไว้ข้างหลัง กลายเป็นตำนานว่าเคยยิ่งใหญ่มาก่อนเช่นกัน
สำหรับประเทศไทย เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ที่เรากำลังเสียขบวนทัพ เริ่มแพ้ในตลาดต่างๆ ที่เคยเป็นผู้นำ ข่าวต่างๆ สัญญาณต่างๆ ที่ทยอยออกมา ทั้งการที่เราส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ได้น้อยกว่าเวียดนาม ส่งออกโดยรวมได้น้อยกว่าเวียดนาม เงินลงทุนโดยตรงเลือกไปที่ประเทศอื่นๆ มากกว่าประเทศไทยหลายเท่า มีปัญหาในการสร้าง Startups หรือ Tech Companies ที่เป็นอนาคต ไม่สามารถคิดค้นนวัตกรรมที่เป็นของตนเอง เด็กของเราสอบได้คะแนนรั้งท้ายของภูมิภาค ทั้งหมดนี้ ชี้ว่าหากเรายังเดินไปตามเส้นทางนี้ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตนเอง ไม่ยอมตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญๆ เส้นทางนี้ก็จะเป็นทางไปสู่ความล้มเหลว ที่เศรษฐกิจไทยจะค่อยๆ ตกขบวนของการเปลี่ยนใหญ่ และกลายเป็นประเทศที่ล้มเหลวในการพัฒนาในที่สุด
ทั้งนี้ ยังไม่สายเกินไปที่เราจะเร่งเปลี่ยนแปลงตนเอง โดยนำทุกภาคส่วนมาร่วมให้ความสำคัญ ใส่ใจกับการขับเคลื่อนการ “ผลัดใบเศรษฐกิจ” เปลี่ยนจากธุรกิจแบบเดิม ๆ ที่เริ่มตกยุค หมดบุญ ไปสู่ธุรกิจ ที่ขับเคลื่อนด้วย Talents และ Technologies แห่งอนาคต ขณะเดียวกัน เตรียมพร้อมรับมือกับมาตรฐานโลกใหม่ของ Low Carbon Economy โดยนำความเข้มแข็งที่เรามี มาเป็นจุดคานงัด สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันรอบนี้
นักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 66 จึงได้คัดเลือกข้อเสนอที่จะเป็น Game Changers สำคัญ 4 เรื่อง ที่เป็น Center of Gravity ที่จะช่วย “ผลัดใบเศรษฐกิจ” โดยเริ่มจากการต่อยอดธุรกิจใน S-Curve เดิมที่เราเป็นผู้นำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม Wellbeing Economy เพื่อช่วยรักษารายได้ระหว่างที่เรากำลังเร่งดำเนินการผลัดใบไปสู่ระบบเศรษฐกิจ 5.0 ที่ใช้ AI, Robots และนวัตกรรม ใหม่ ๆ เร่งเปิดประเทศผ่านนโยบาย Open Thailand เพื่อปลดล็อค ปิดจุดอ่อนด้าน Talents และ Technologies พร้อมวางโครงสร้างสำคัญที่จะนำไทยไปสู่การเป็น Low Carbon Economy ภายใต้แนวคิด Green Thailand

