บทที่ 1 “เปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย”
สัญญาณต่างๆ ของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า เรากำลังเริ่มเข้าสู่ช่วงของการเสื่อมถอยครั้งสำคัญที่จะมีผลต่อความมั่นคงของชาติ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการทหาร โดยหากรัฐบาลยังไม่เปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินงานขับเคลื่อนประเทศ ยังมุ่งเดินไปแนวทางเดิมที่ได้เดินมา ไม่ตัดสินใจในประเด็นสำคัญๆ ช่วงเวลา 5 ปีข้างหน้าจะเป็นจุดผกผันที่กำหนดอนาคตของประเทศและลูกหลานคนไทย ทำให้ไทยไม่สามารถบรรลุศักยภาพที่มีอยู่ ไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลก สูญเสียบทบาทและความสำคัญที่เคยมี ท้ายสุดจะค่อยๆ กลายเป็นประเทศที่ถูกทุกคนทิ้งไว้ข้างหลัง
สาเหตุสำคัญของความเสื่อมถอย มาจากการที่ Model การพัฒนาประเทศเดิมที่ได้ใช้ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้นำเราไปสู่การเป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงสุดของโลกระหว่างปี พ.ศ. 2535-2540 สามารถยกระดับการพัฒนาก้าวขึ้นเป็นประเทศที่องค์กรระดับโลกต่างๆ ยกย่องว่าเป็น Asian Miracle เริ่มที่จะไม่มีประสิทธิภาพดังเช่นที่ผ่านมา กลายเป็นแนวทางการพัฒนาที่ตกยุค ไม่สอดรับกับบริบทที่เปลี่ยนไป ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนอย่างยิ่ง ที่ทุกภาคส่วนของไทยต้องมาร่วมกันคิดเรื่อง “เปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย” เพื่อให้ประเทศของเราสามารถผลัดใบไปสู่ “Thailand Next” ปรับตัวเข้ากับบริบทโลกที่เปลี่ยนไป ทันโลก ทันเพื่อนบ้าน นำพาประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง เป็นต้นแบบการพัฒนา เป็นผู้นำอย่างแท้จริงของอาเซียน เอเชีย และโลกต่อไป
ระฆังเตือนภัย
ความเสื่อมถอยที่เริ่มเห็นได้ชัดขึ้นของไทย ประกอบไปด้วยความอ่อนแออย่างน้อยใน 5 ด้าน ที่ได้พบมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เพียงแต่ว่าในช่วงแรกๆ ทุกคนไม่ได้ใส่ใจเพียงพอ คิดว่าเป็นปัญหาสั้นๆ ทำให้มองข้ามประเด็นเหล่านี้ไป และไม่ได้เร่งรัดดำเนินการเพื่อแก้ไข
1. ความอ่อนแอของระบบเศรษฐกิจ ปัญหาสำคัญสุดที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ คือ การที่อัตราการเจริญเติบโตของประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่ประเทศไทยสามารถขยายตัวได้เฉลี่ยประมาณปีละ 7.5% ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 2540 โดยหลังจากนั้น อัตราการขยายตัวลดลงมาที่ 4-5% ต่อมาหลังเกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2551 อัตราการขยายตัวของไทยได้ลดลงอีกครั้ง มาเฉลี่ยที่ประมาณ 3.5% และท้ายสุด หลังปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายลง อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยได้ลดลงเหลือเฉลี่ยต่ำกว่า 2% (รูปที่ 1) ซึ่งเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่ต่ำสุดประเทศหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน

หากไทยยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการติดหล่มทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้เศรษฐกิจโตช้าต่อเนื่องเช่นนี้ ในช่วงต่อไป จากการประมาณการของ PwC เศรษฐกิจไทยที่เคยเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียนรองจากอินโดนีเซีย ก็จะถูกแซงโดยเศรษฐกิจฟิลิปปินส์และเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2578 และปี 2585 ตามลำดับ (รูปที่ 2)

ทำให้นักลงทุนต่างประเทศจะมองข้ามเศรษฐกิจไทยมากขึ้น ดังที่เห็นได้จากเงินลงทุนจากต่างประเทศซึ่งเลือกที่จะไหลไปลงทุนที่ประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในอินโดนีเซียและเวียดนาม ทั้งนี้ ตัวเลขการลงทุนโดยตรง FDIs ที่ไหลไปที่เวียดนามในช่วงที่ผ่านมา มีจำนวนมากกว่าที่ไหลมาลงทุนในไทยถึง 3 เท่าตัว (รูปที่ 3)

ทำให้เวียดนามสามารถพัฒนาศักยภาพทางเทคโนโลยีและยกระดับรายได้เข้ามาใกล้เคียงไทย โดยมูลค่าการส่งออกรวมของเวียดนามได้แซงมูลค่าการส่งออกรวมของไทยตั้งแต่เมื่อปี 2563 เป็นต้นมา ทั้งนี้ เศรษฐกิจมหภาคของไทยเริ่มมีความอ่อนแอมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของฐานะการเงิน (Balance Sheet) โดยภาครัฐมีหนี้ภาครัฐสูงมากกว่า 60% ของ GDP เทียบกับในอดีตที่เคยมีหนี้อยู่ในระดับประมาณ 40% นอกจากนี้ ภาครัฐที่เคยเกินดุลการคลังอย่างต่อเนื่องก่อนวิกฤตปี 2540 ได้เปลี่ยนมาเป็นการขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

2. ความอ่อนแอของทรัพยากรมนุษย์ ในโลกยุค 4.0 ทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ที่จะกำหนดขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยภายใต้ระบบการค้าโลกที่เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด ทรัพยากรมนุษย์ที่ดีมีคุณภาพ จะช่วยให้ประเทศสามารถก้าวขึ้นไปบนบันไดของเทคโนโลยี สามารถดึงดูดอุตสาหกรรมที่น่าสนใจและที่เป็นอนาคตของระบบ นำมาซึ่งอาชีพที่ใช้ทักษะที่ซับซ้อนขึ้น รวมทั้งรายได้ของคนและประเทศที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่ากังวลใจก็คือ คุณภาพคนของไทยได้ลดลงในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่คนของประเทศเพื่อนบ้านพัฒนาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากผลการสอบ PISA ที่เด็กไทยได้คะแนนต่ำลงเมื่อเทียบกับในช่วงที่ผ่านมา
และเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน ผลการสอบของไทยอยู่ในลำดับที่ 5 รองจากสิงคโปร์ เวียดนาม บูรไน และมาเลเซีย โดยเด็กไทยมีคะแนนในวิชาภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD อย่างมีนัยยะสำคัญ (รูปที่ 4)

หากคุณภาพของคนไทยยังคงมีปัญหาในการพัฒนาเช่นนี้ ประเทศไทยจะประสบปัญหาในการแข่งขันกับต่างประเทศในอุตสาหกรรมที่สำคัญในช่วงต่อไป อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเราจะไม่สามารถก้าวขึ้นไปบนบันไดของเทคโนโลยีที่ซับซ้อนได้ ทำให้ประเทศค่อยๆ กลายเป็นประเทศที่พึ่งพาอุตสาหกรรมที่ใช้ทักษะไม่มากเป็นหลัก ซึ่งจะกระทบต่อไปยังผลตอบแทนและค่าจ้างแรงงาน ตลอดจนระดับรายได้ของประเทศเทียบกับประเทศอื่นๆ
3. ความอ่อนแอของฐานราก ปัญหาสำคัญอีกด้าน คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความมั่งคั่ง ในส่วนของการถือครองทรัพย์สินและที่ดิน ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ในบัญชีเงินฝากทั้งหมด 110 ล้านบัญชีของประเทศ บัญชีเงินฝากเพียงประมาณแสนกว่าบัญชี ถือครองเงินฝากมากกว่า 50% ของประเทศ ขณะที่อีก 95 กว่าล้านบัญชีมีเงินฝากรวมกันเพียง 3% โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณบัญชีละ 4-5 พันบาทเท่านั้น นอกจากนี้ จากข้อมูลพบว่า คนที่รวยสุด 20% ของประเทศ ถือครองที่ดินรวมกันประมาณ 80% ของที่ดินทั้งหมด ขณะที่คนจนสุด 20% ถือครองที่ดินรวมกันเพียง 0.25% หรือต่างกันประมาณ 300 เท่า (รูปที่ 5)

ทั้งนี้ ภาคการเกษตรไทยในชนบท มีประชาชนอยู่ประมาณ 20 ล้านคนหรือประมาณ 30% ของประชากร แต่กลับมีส่วนแบ่งของ GDP ไทยลดลงต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 9% โดยการพัฒนาในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งผลให้พื้นที่ชนบทอ่อนแอลง ครอบครัวในชนบทมีรายได้ที่ไม่พอกับรายจ่าย ต้องมีหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ สุดท้ายต้องขายที่ดินที่มีอยู่ ต้องบุกรุกในพื้นที่สาธารณะ และพื้นที่ป่าของประเทศ นอกจากนี้ ครัวเรือนในชนบท กลายเป็นครอบครัวแหว่งกลาง หนุ่มสาวไปทำงานที่โรงงานในเมือง ฝากลูกๆ ไว้ให้ปู่ย่าตายายเลี้ยง ทำให้เด็กๆ ได้รับการเลี้ยงดูไม่เหมาะสม ล่าสุด การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลให้คนที่ฐานรากต้องกลายเป็นหนี้มากขึ้น ล่าสุด หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับที่สูงกว่า 90% ของ GDP (รูปที่6) มากเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาของโลก ซึ่งช่วงที่เศรษฐกิจฟื้น ครัวเรือนกลับไม่สามารถฟื้นตัวได้ ล่าสุดไม่สามารถชำระหนี้ได้กลายเป็น NPL ในอัตราที่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (รูปที่ 7)


ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่า ขณะที่การพัฒนาของไทยโดยรวมดูเหมือนจะประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจ โดยได้พัฒนาพื้นที่สำคัญๆ ของประเทศ ในกรุงเทพมหานคร EEC[1] ตลอดจนเมืองสำคัญ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา แต่ชนบทและประชาชนที่ฐานรากของไทยกลับอ่อนแอลงต่อเนื่อง กลายเป็นจุดเปราะบางและอ่อนไหว รอวันปะทุขึ้นเป็นการเผชิญหน้าระหว่างชนชั้น ซึ่งการประท้วงต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา ก็ได้นำเอาความไม่ยุติธรรม สองมาตรฐาน ความไม่เท่าเทียม และความเหลื่อมล้ำทางสังคม มาใช้เป็นประเด็นสำคัญในการปลุกเร้าประชาชน
4. ความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม หนึ่งในผลพวงจากการพัฒนาที่ไม่สมดุลของไทย รวมทั้งจากการมุ่งทำเกษตรเชิงเดี่ยวในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกษตรกรไทยอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก ทำให้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสภาพภูมิอากาศ ประชาชนจึงมีรายได้ไม่พอรายจ่าย ตกเป็นหนี้ ทั้งจากในและนอกระบบ สุดท้าย นำมาซึ่งการสูญเสียที่ดินทำกิน
ด้วยเหตุนี้ ประชาชนจำนวนหนึ่งต้องบุกรุกพื้นที่ป่า เผาทำลายป่า เพื่อใช้เป็นพื้นที่ทำมาหากิน โดยผลที่ตามมาก็คือ การลดลงอย่างต่อเนื่องของพื้นที่ป่าในช่วงที่ผ่านมาทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของป่าธรรมชาติที่เคยเป็นแหล่งรายได้เสริมสำคัญของประชาชนหายไป ส่งผลต่อแหล่งต้นน้ำ แหล่งซับน้ำ ทำให้เกิดปัญหาน้ำแล้ง น้ำหลาก น้ำท่วม และดินถล่ม ในยุค Global Warming/Global Boiling เช่นในปัจจุบัน ก็ยิ่งกลายเป็นปัญหาที่รุนแรงมากขึ้น ที่สำคัญสุด เมื่อสภาพแวดล้อมของชุมชนในชนบทเปลี่ยนไปเช่นนี้ ความอุดมสมบูรณ์ของป่า น้ำ ดินที่หายไป ทำให้รายได้ของเกษตรกรลดลงตามลำดับ
ปัญหาความยากจนในชนบทนับวันยิ่งทวีคูณ กลายเป็นภาระของรัฐบาลที่จะต้องเข้าไปแทรกแซง เยียวยา และดูแล โดยรัฐจำเป็นต้องใช้เงินหลายหมื่นล้านในแต่ละปี เพื่อช่วยดูแลเกษตรกรในกลุ่มสินค้าเกษตรต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภัยพิบัติทางธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าในตลาดโลกให้สามารถยังชีพอยู่ได้
ท้ายสุด จากการเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อมเหล่านี้ ประชาชนจำนวนหนึ่งไม่สามารถอยู่ได้ในถิ่นเกิด จำต้องย้ายถิ่นฐานเข้าเมือง มาทนอยู่ตามชุมชนแออัด แหล่งสลัมต่างๆ กลายเป็นคนจนเมือง (Urban Poor) ส่งผลให้ปัญหาสังคมเมืองมีความรุนแรงขึ้นในมิติต่างๆ
5. ความอ่อนแอของระบบราชการ ในด้านสุดท้าย หนึ่งในประเด็นที่น่ากังวลใจสุดของไทย คือ การทุจริตคอร์รัปชั่นในระบบราชการ ซึ่งจากดัชนี Corruption Perception Index ที่จัดทำโดยองค์กร Transparency International พบว่า ไทยอยู่ในอันดับที่ 108 จาก 180 ประเทศ จัดเป็นอันดับที่ 4 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม
ปัญหาส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากระบบราชการที่อ่อนแอ เต็มไปด้วยขั้นตอนต่างๆ เงินเดือนข้าราชการที่ต่ำไม่พอเพียง รวมทั้งจากระบบกฎหมายที่ซับซ้อน ทำให้เกิดช่องในการเลือกปฏิบัติในกระบวนการต่างๆ นำมาซึ่งการเรียกร้องค่าตอบแทน ตลอดจนการใช้กฎหมายมาเป็นเครื่องมือในการหารายได้ ตลอดจน การให้หรือติดสินบน เพื่อให้ได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็ว เป็นต้น ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นนี้ ทำให้เกิดต้นทุนแฝงที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้นทุนในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญๆ ของรัฐ เพิ่มขึ้นหลายสิบเปอร์เซนต์
นอกจากนี้ ยังกระทบต่อการดำรงชีพของประชาชน ที่ต้องเผชิญกับระบบราชการ ที่มีหลายขั้นตอนการดำเนินงาน ต้องใช้เวลา ต้องมีค่าใช้จ่ายพิเศษ ซึ่งกระทบต่อประสิทธิภาพของการแข่งขันของประเทศในที่สุด
The Great Disruption
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่น่ากังวลใจอีกประการ ก็คือ ความเสื่อมถอยของไทยเหล่านี้ กำลังเกิดขึ้นท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโลกใน 4 ด้าน อันประกอบด้วย การค้นคิดเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในยุค Industrial Revolution ครั้งที่ 4 การเปลี่ยนศูนย์กลางความเจริญของเศรษฐกิจโลกที่ย้ายมาที่เอเชีย ที่มีผู้เล่นรายใหม่ๆ จากจีน อินเดีย เวียดนาม ที่ทำให้การแข่งขันทวีความรุนแรงมากขึ้น ความขัดแย้งในด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจในพื้นที่ต่างๆ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศของโลก ที่ก้าวขึ้นสู่ขั้นที่เรียกว่า Global Boiling
“ภายใต้กระแสการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก หากเราไม่ตัดสินใจ ไม่ปรับเปลี่ยน เราจะเสื่อมถอยในอัตราเร่ง”
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสให้กับประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย โดยประเทศที่สามารถหยิบฉวยโอกาสที่เปิดขึ้นจากเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI, Robotic, Digital Revolution ได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ ก็จะสามารถก้าวนำหน้าหรือแซงเพื่อนๆ ได้ ส่วนประเทศที่ไม่สามารถปรับตัว มองไม่เห็นโอกาส ไม่สามารถหยิบโอกาสที่เปิดขึ้นมาเป็นของเรา ก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยผลเหล่านี้จะเห็นได้ชัดใน 5 ปีข้างหน้า หลังจากที่ FDIs ซึ่งกำลังหลั่งไหลเข้ามาสู่อินเดียและอาเซียน ได้สร้างแล้วเสร็จ กลายเป็นส่วนหนึ่งของกำลังผลิตของประเทศนั้นๆ โดยอินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนามที่ได้รับโครงการลงทุนต่างๆ ของไทยมากกว่าหลายเท่า จะพลิกกลายเป็นคู่แข่งที่เข้มแข็ง
ทั้งหมดนี้ จะทำให้ประเทศที่กำลังอยู่ในช่วงเสื่อมถอยเช่น ไทย ประสบปัญหาของการเสื่อมถอยในอัตราเร่งยิ่งขึ้น โดยเราจะเห็นได้จากข่าวและข้อมูลล่าสุดว่า อุตสาหกรรมสำคัญๆ ที่เคยเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้ไทยในช่วงที่ผ่านมา กำลังลดการผลิต หรือปิดตัวลง เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้ย้ายฐานจากไทยไปอยู่ที่เวียดนาม และได้ก้าวล้ำนำไทยในเรื่องนี้ไปแล้ว อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนที่เป็นแหล่งสร้างรายได้จากการส่งออกให้ไทยปีละกว่า 1 ล้านล้านบาท ก็กำลังพบว่า บริษัทสำคัญๆ เช่น ซูซูกิ ซูบารุ นิสสัน และฮอนด้า ได้ตัดสินใจปิดโรงงาน หรือลดการผลิตในไทยลง
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเกี่ยวเนื่อง ซึ่งไทยมีนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีใหญ่สุดเป็นอันดับ 1 ใน 5 ของเอเชีย ก็กำลังจะเข้าสู่ช่วงขาลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน จากความกังวลใจของรัฐบาลต่างๆ เกี่ยวกับปัญหาเรื่อง Carbon Emission ซึ่งนำไปสู่ความพยายามของรัฐบาลในประเทศตะวันตก ที่จะออกมาตรการต่างๆ มาช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมาตรการเหล่านี้จะมีความเข้มข้นยิ่งขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของ EU และมาตรการในลักษณะเดียวกันของประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ ญี่ปุ่น ได้เริ่มบังคับใช้ในต้นปี 2569 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างๆ ในไทยอย่างกว้างขวาง
ทั้งนี้ ความสำเร็จของไทยในช่วงที่ผ่านมา ในการพัฒนาประเทศ เป็นผลมาจากการตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ของรัฐบาล กลายเป็นรากฐานของการพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้ เช่น การที่ไทยเปิดกว้าง ไม่มีรถที่ผลิตโดยคนไทยเอง ที่ทำให้ไทยสามารถดึงดูดผู้ผลิตทุกแบรนด์มาใช้ไทยเป็นฐานสำคัญในการผลิต ทำให้เราสามารถก้าวขึ้นมาเป็น Detroit of Asia ได้ การตัดสินใจของรัฐบาลที่จะริเริ่มโครงการ Eastern Seaboard สร้างท่าเรือน้ำลึกที่แหลมฉบังและมาบตาพุด ทำให้ภาคตะวันออกของไทยมีความเหมาะสม มีความสะดวกทาง Logistics กลายเป็นพื้นที่ตั้งหลักของฐานการผลิตสำคัญของอุตสาหกรรมต่างๆ ในภูมิภาค ท้ายสุด การที่เราขุดเจอแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ก็ได้ทำให้ไทยสามารถก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำด้านอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยมาจนถึงทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม ข่าวต่างๆ ที่กำลังออกมา รวมไปถึงราคาตลาดหุ้นไทยที่ประสบปัญหาในการปรับตัว สะท้อนว่า “บุญเก่า” ที่เคยทำไว้ดี และได้ส่งผลดีให้กับไทยในช่วงที่ผ่านมาเหล่านี้ กำลังหมดผล เทคโนโลยีและโรงงานที่เราได้ลงทุนสร้างไว้เมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว และใช้ในการแข่งขันมาจนถึงทุกวันนี้ กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีล้าหลัง ตกยุค ยากที่จะแข่งขันต่อไป ซึ่ง The Great Disruption ที่เรากำลังเผชิญอยู่ กำลังทำให้บุญเก่า หมดลงในอัตราเร่ง ทั้งหมดหมายความว่า ไทยจะต้องเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ หรือ The Great Transition ที่เราจะต้องผลัดใบเศรษฐกิจ มุ่งสู่อนาคต สร้างโรงงานยุคใหม่ คนไทยยุคใหม่ ที่ต้องใช้นวัตกรรม ข้อมูลขนาดใหญ่ และ AI เข้ามาประกอบ ก้าวไปสู่ Low Carbon Economy โดยจะต้องมีการลงทุนเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ ทั้งในเชิงพลังงานและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถผ่านเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อทำการค้ากับโลกตะวันตก พร้อมทั้งวางตำแหน่งและนโยบายด้านต่างประเทศที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถผ่านช่วงของความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจไปได้
ผลที่จะเกิดขึ้น หากเราไม่เปลี่ยน
ถ้าเราล้มเหลวในการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ สิ่งที่รออยู่ก็คือ การที่ประเทศไทยจะค่อยๆ ถูกเพื่อนๆ ทิ้งไว้ข้างหลัง จากความแตกต่างของอัตราการเจริญเติบโตของประเทศ ที่เราสามารถโตได้เพียงประมาณ 2-3% ขณะที่คู่แข่งสามารถโตได้ถึง 4-6% ทำให้ต่อไปไทยจะสูญเสียความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในอาเซียน อันจะนำมาซึ่งการสูญเสียความเป็นผู้นำทางการทูต รวมทั้งสูญเสียความเป็นผู้นำทางการทหารของภูมิภาคในระยะยาว เนื่องจากการลงทุนในยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ต้องใช้เงิน หากรายได้ของประเทศน้อยกว่า ความสามารถในการลงทุนในยุทโธปกรณ์ของเราก็จะลดลงไป แม้กระทั่งเรื่องวัฒนธรรมและ Soft Power ก็จะยากที่เราจะเป็นหนึ่งในผู้นำของโลกเช่นกัน โดย “เสียงของประเทศไทย” จะค่อยๆ แผ่วเบาลง และถูก Marginalize จากสังคมโลกในที่สุด

12 ข้อเสนอที่จะเปลี่ยนประเทศ
ทั้งหมดหมายความว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ที่จะเปลี่ยนอนาคตของชาติ ที่จะช่วยให้ไทยสามารถยืนอยู่ได้ในกระแสเชี่ยวกราดของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 66 ได้นำข้อมูลที่เรียนรู้จากท่านคณาจารย์ จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ผ่านกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์
โดยสังเคราะห์เป็น 12 ข้อเสนอที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญใน 4 ด้าน คือ
1) ซ่อมฐานราก
2) ผลัดใบเศรษฐกิจ
3) ยกเครื่องระบบราชการ
4) เสริมสร้างกองทัพ รองรับความท้าทาย
ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมาย “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
ข้อเสนอเหล่านี้ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงในจุดสำคัญ ซึ่งเป็น Center of Gravity ของปัญหา ที่จะช่วยให้ไทยสามารถพลิกสถานการณ์ ช่วยยกระดับการแข่งขันของประเทศ สามารถพัฒนาได้อย่างทัดเทียมกับเพื่อนๆ ต่อไป
12 จุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับประเทศไทย

การปฏิรูปครั้งสำคัญของไทยในยุครัชกาลที่ 5
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ระหว่างปี 2411 ถึง 2453 ทรงริเริ่มและดำเนินการปฏิรูปครั้งสำคัญในหลากหลายมิติที่ทำให้ประเทศไทยทันสมัยขึ้น โดยในยุคสมัยของพระองค์ มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง และการทหาร ในลักษณะ “การปฏิวัติโดยสันติ” และมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเปลี่ยนสยามให้เป็นรัฐชาติที่ทันสมัย ซึ่งช่วยให้ประเทศอยู่รอดและเป็นอิสระในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

การปฏิรูปที่สำคัญ ได้แก่
1. ด้านสังคม
การเลิกทาส: การปฏิรูปครั้งสำคัญประการหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ การเลิกทาสอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งพระองค์ทำได้สำเร็จโดยไม่ใช้ความรุนแรง จึงป้องกันความวุ่นวายในสังคมได้
การศึกษา: ก่อตั้งโรงเรียนแบบตะวันตกแห่งแรกในสยามและส่งเสริมการศึกษาสำหรับทั้งเด็กชายและเด็กหญิง และพระสงฆ์ รวมทั้ง การส่งสมาชิกราชวงศ์และเยาวชนไปศึกษาต่างประเทศ เพื่อนำแนวคิดและความรู้ใหม่ๆ กลับมาพัฒนาประเทศ
2.เศรษฐกิจ
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน: มีการสร้างทางรถไฟสายแรกที่เชื่อมต่อกรุงเทพฯ กับอยุธยา โดยเปิดให้บริการในปี 2436 ถือเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นระบบขนส่งสมัยใหม่ในประเทศ รวมทั้งการสร้างถนน และระบบโทรเลข ซึ่งอำนวยความสะดวกในการสื่อสารและการค้าภายในประเทศ
การจัดตั้งระบบการเงินการธนาคาร: จัดตั้งกรมธนบัตรขึ้น สังกัดกระทรวงพระคลัง มหาสมบัติ และประกาศยกเลิกการใช้เงินพดด้วง โดยให้ใช้เหรียญบาท สลึง และเหรียญสตางค์ แทน รวมทั้งมีจัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ขึ้นเพื่อรวบรวมภาษีอากรทุกชนิดจากทุกหน่วยงาน และได้ตราพระราชบัญญัติเกี่ยวกับภาษีอากรหลายฉบับ
3.การเมือง การปกครอง
การรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง: รวมอำนาจการบริหารไว้ที่ศูนย์กลาง ลดอำนาจของขุนนางในท้องถิ่น ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งระบบราชการที่ทันสมัย และยกเลิกจตุสดมภ์โดยการจัดรวมกรมต่างๆ ที่มีลักษณะงานคล้ายกันมาอยู่ด้วยกัน หรือ เรียกว่า “กระทรวง”
การปฏิรูปกฎหมาย: ริเริ่มระบบการศึกษาและกฎหมายแบบตะวันตก ซึ่งรวมถึงการสร้างโรงเรียนและสถาบันกฎหมายตามแบบจำลองของยุโรป ซึ่งช่วยทำให้ประเทศทันสมัยขึ้น
กลยุทธ์ทางการทูต: บริหารความสัมพันธ์กับมหาอำนาจยุโรปอย่างชาญฉลาด โดยยอมสละดินแดนบางส่วน เพื่อแลกกับการยอมรับอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของสยาม
การปฏิรูปการปกครอง: แบ่งเขตการปกครองเป็นเมือง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย ถือเป็นการรวมอำนาจตามหัวเมืองเข้าสู่ราชธานี
4.การทหาร
การปฏิรูปกองทัพ: จัดตั้งกระทรวงกลาโหม ซึ่งรวมอำนาจการบังคับบัญชาทหารไว้ที่ศูนย์กลาง มีการจัดระเบียบและนำเทคนิคการฝึกอบรมแบบตะวันตกมาใช้ ทำให้กองทัพมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการได้ดีขึ้น ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาเอกราชของไทย ในช่วงที่ประเทศในยุโรปขยายอาณานิคมไปยังพื้นที่ต่างๆ

จุดศูนย์ดุลในบริบทการทหาร Center of Gravity: CoG
ในบริบททางการทหาร “จุดศูนย์ดุล” (CoG) หมายถึงแหล่งที่มาหลักของพลังและความสามารถในการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเป็นจุดที่หากสามารถโจมตีและทำลายได้ จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อความสามารถในการทำสงครามของศัตรู
แนวคิดนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยคาร์ล ฟอน เคลาเซวิทซ์ นักทฤษฎีการทหารปรัสเซียน ในผลงานสำคัญของเขา “On War ” โดยมองว่า CoG ไม่จำเป็นต้องเป็นวัตถุหรือสถานที่ แต่สามารถเป็นองค์ประกอบสำคัญทางกลยุทธ์ ความสามารถพิเศษของฝ่ายตรงข้าม หรือแม้แต่เจตจำนงทางการเมืองที่คอยขับเคลื่อนการต่อสู้ หากสามารถโจมตี CoG ได้สำเร็จ จะสามารถทำให้ข้าศึกล่มสลายได้อย่างรวดเร็ว
ลักษณะสำคัญของจุดศูนย์ดุล:
1. ความแข็งแกร่งที่สำคัญ (Critical Strength): จุดศูนย์ดุลมักเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ศัตรูได้เปรียบและเป็นหัวใจสำคัญของความสามารถ เช่น กองทัพที่มีประสิทธิภาพสูง กองเรือที่ทรงพลัง พันธมิตรที่แข็งแกร่ง หรือเส้นทางการขนส่งเสบียงที่สำคัญ
2. ช่องโหว่ (Vulnerability): แม้ CoG จะเป็นจุดที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็เป็นจุดที่อ่อนไหวที่สุดเช่นกัน หากโจมตีอย่างมีประสิทธิภาพ ศัตรูอาจพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว
3. พลวัตและสถานการณ์ (Dynamic and Situational): จุดศูนย์ดุลไม่ได้คงที่ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ของสงครามและบริบทเฉพาะ สิ่งที่ถือเป็น CoG ในช่วงหนึ่งของสงคราม อาจไม่เป็นเช่นนั้นในช่วงต่อไป
ตัวอย่างของจุดศูนย์ดุล:
- สงครามโลกครั้งที่สอง (World War II): อาจกล่าวได้ว่าเป็นกองกำลังทหารที่มีความคล่องตัวสูงที่มุ่งเน้นการโจมตีทั้งในด้านการวางระเบิดทางยุทธศาสตร์ การรุกทางภาคพื้นดิน และการทำลายฐานสนับสนุน ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถคว้าชัยชนะได้ในที่สุด
- ความขัดแย้งสมัยใหม่ (Modern Conflicts): ในการต่อสู้กับกลุ่มก่อความไม่สงบ จุดศูนย์ดุลอาจเป็นการสนับสนุนจากประชาชนในท้องถิ่น การที่รัฐบาลสามารถชนะใจประชาชนและสร้างความไว้วางใจได้ จะช่วยบ่อนทำลายความสามารถของกลุ่มผู้ก่อการร้ายในการดำเนินกิจกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ
การประยุกต์ใช้ในการวางแผนทางทหาร:
- การระบุ CoG จำเป็นต้องวิเคราะห์ฝ่ายตรงข้ามอย่างละเอียด เพื่อระบุจุดศูนย์ดุล ซึ่งเป็นงานที่ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับกลยุทธ์ ความสามารถ และบริบททางการเมืองของศัตรู
- การกำหนดเป้าหมาย CoG: จะต้องออกแบบการดำเนินการทางทหาร เพื่อต่อต้านหรือใช้ประโยชน์จาก CoG เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์
โดยสรุป จุดศูนย์ดุลในทางการทหารเป็นแนวคิดสำคัญที่มุ่งเน้นความพยายามไปที่องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในโครงสร้างอำนาจของคู่ต่อสู้ เพื่อให้บรรลุชัยชนะอย่างเด็ดขาดในที่สุด
