จุดเปลี่ยนที่ 9 “ลดขนาดภาครัฐและบริหารบุคลากร”

ระบบราชการเป็นกลไกหลักของประเทศ ประเทศที่มีระบบราชการที่ดี มีประสิทธิภาพ จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาประเทศไปสู่ประเทศรายได้สูง ประชาชนอยู่ดีมีสุข โดยจากข้อมูลการสำรวจของ McKinsey Global Institute พบว่าภาครัฐและภาคประชาสังคมทั่วโลก สูญเสียโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในมูลค่าสูงมาก นอกจากนี้ Executive Opinion Survey 2017 ของ World Economic Forum พบว่า  ปัจจัยปัญหาที่สำคัญที่สุดในการประกอบธุรกิจของภาคเอกชน 3 ลำดับแรก คือ เสถียรภาพของรัฐบาล ปัญหาของระบบราชการ และความต่อเนื่องของนโยบาย โดยสิ่งที่ผู้บริหารภาคเอกชนกังวลใจ 2 อันดับแรก คือ ความไม่มีประสิทธิภาพของระบบราชการและปัญหาคอร์รัปชัน แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของระบบราชการ อันเป็นกลไกหลักเชิงระบบ (System) ในการขับเคลื่อนประเทศ

สำหรับประเทศไทย ปัญหาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของระบบราชการเป็นประเด็นหลัก ระบบราชการขาดการบูรณาการ การทำงานของราชการแบบแยกส่วน (Silo) การประสานในเชิงบูรณาการยังไม่มีประสิทธิภาพดีพอ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดมาจากปัญหาทั้งข้อกฎหมายและการบูรณาการชุดข้อมูลและระบบการบริหารจัดการข้อมูลให้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการจัดทำบริการสาธารณะ ซึ่งเอกสารฉบับนี้ได้นำเสนอแนวทางการแก้ไขประกอบไว้ในจุดเปลี่ยนเรื่องการสะสางกฎหมายล้าสมัย และจุดเปลี่ยนเรื่องการเร่งสร้าง Digital Government ประเทศที่พัฒนาแล้วมักมีระบบราชการที่มีคุณภาพ ประชาชนจะมีความเชื่อถือ (Trust) ต่อภาครัฐ การสร้างให้เกิดความน่าเชื่อถือในระบบราชการ อย่างน้อยจะต้องประกอบด้วยปัจจัย 2 ประการ (จาก Thailand Policy Lab Website) คือ

1) เจตจำนงที่ดี (Intent) โดยภาครัฐจะต้องมีการบริหารจัดการภายใต้หลักธรรมาภิบาล มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ การบังคับใช้กฎหมายมีความเป็นธรรม และปลอดจากการทุจริตคอร์รัปชัน การนำหลักธรรมาภิบาลมาใช้ในองค์กรภาครัฐ ซึ่งได้มีการตราพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 3/1 เพื่อให้ส่วนราชการใช้วิธีการบริหารบ้านเมืองที่ดี และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 เป็นหลักการเพื่อให้การปฏิบัติงานของส่วนราชการตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศและให้บริการแก่ประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ มีประสิทธิภาพ คุ้มค่า ฯลฯ และการตราพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 ตามบทบัญญัติมาตรา 76 วรรค 3 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปีพุทธศักราช 2560 เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกำหนดประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ เพื่อให้ทั้งหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติงานโดยคำนึงถึงหลักเจตนาจำนงที่ดีในการจัดทำบริการสาธารณะ ซึ่งก็ต้องมีการติดตามผลการบังคับใช้ให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป และ

2) ความสามารถภาครัฐ (Competence) โดยภาครัฐจะต้องมีประสิทธิภาพในการจัดทำบริการสาธารณะ ข้าราชการมีความเป็นมืออาชีพ เป็นคนดีคนเก่ง การใช้จ่ายงบประมาณมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลด้วยนอกเหนือจากการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ตลอดจนการบริหารจัดการบนแนวคิด Issue-based เน้นการบูรณาการและยึดผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นหลัก เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน

ปัญหาประสิทธิภาพการบริหารงบประมาณประเทศ จาก Size & Cost ของระบบราชการ

ข้อมูลจากเอกสารโดยสังเขปประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 

โครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีมีสัดส่วนของงบรายจ่ายประจำมากกว่าร้อยละ 70% (73% ในปีงบประมาณ 2567 และ 72.1% ในปีงบประมาณ 2568) และมีรายจ่ายลงทุนประมาณ 20% (20.4% ในปีงบประมาณ 2567 และ 24.2% ในปีงบประมาณ 2568) งบบุคลากรคิดเป็น 17.9% ในปีงบประมาณ 2567 และ 16.9% ในปีงบประมาณ 2568 

โดยงบบุคลากรครอบคลุมรายจ่ายเพื่อการบริหารงานบุคคลภาครัฐ เช่น เงินเดือน ค่าจ้างประจำ ค่าจ้างชั่วคราว ค่าตอบแทนพนักงานราชการ  

ในขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านบุคคลสำหรับองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หน่วยงานของรัฐ ซึ่งมิใช่ราชการส่วนกลาง หน่วยงานในกำกับของรัฐ องค์การมหาชน รัฐวิสาหกิจ ฯลฯ ถูกจัดสรรไว้ภายใต้งบเงินอุดหนุน 

และค่าใช้จ่ายด้านบุคคลอื่น อาทิ ค่ารักษาพยาบาล บำเหน็จบำนาญข้าราชการ ถูกจัดสรรไว้ภายใต้งบกลาง (งบกลาง รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ จำนวน 333,043 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2567 และเพิ่มขึ้นเป็น 354,500 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2568) 

ด้วยปัญหาโครงสร้างอายุของประชากรที่เกิดขึ้นกับภาคราชการเช่นเดียวกันกับภาคสังคมของประเทศ จำนวนประชาชนอายุ 60 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ในขณะที่อัตราการเกิดลดลง ประชากรวัยแรงงานมีสัดส่วนลดลง ประกอบกับคุณลักษณะของคนรุ่นใหม่ทั้ง Gen Z, Gen Alpha มีความต้องการและทัศนคติในการทำงานแตกต่างจากคนรุ่น Gen X หรือ Baby Boomers จะมีจำนวนข้าราชการเกษียณเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่อัตราการลาออกก็จะเพิ่มขึ้นด้วย เช่น ในปีงบประมาณ 2556 ข้าราชการพลเรือนสามัญเกษียณจำนวน 5,143 คน ลาออก 3,370 คน 

แต่ในปีงบประมาณ 2565 ข้าราชการพลเรือนสามัญเกษียณจำนวน 9,469 คน ลาออก 8,509 คน เมื่อพิจารณาภาพรวม จะพบว่า การเบิกจ่ายงบประมาณในส่วนของเงินเดือน มีวงเงินเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เมื่อเทียบกับงบบำเหน็จบำนาญข้าราชการที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 10% ต่อปี ดังนั้น จึงคาดการณ์ได้ว่าภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคคลจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างเป็นนัย และจะส่งผลให้งบรายจ่ายประจำเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 70% ด้วยสัดส่วนการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินที่ยังขาดประสิทธิภาพ งบประจำมีสัดส่วนสูงมากและทำให้งบประมาณที่จะใช้ในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ มีไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน และต่อความคาดหวังของประชาชนที่ภาครัฐควรจะต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เพื่อยกระดับและส่งเสริมทั้งภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและภาคประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี (รูปที่ 30 และรูปที่ 31)

ประเทศจำเป็นต้องมีข้าราชการที่เป็นคนดี คนเก่ง … ในระยะยาว หากคนดีคนเก่งเบือนหน้าหนีจากระบบราชการ กลไกหลักของประเทศจะยิ่งมีปัญหา

กลไกของระบบราชการในปัจจุบัน หน่วยงานกลางก็มีลักษณะการทำงานแบบ Silo การจัดทำแผนงานโครงการ การจัดทำคำของบประมาณ การจัดทำคำขอด้านอัตรากำลัง ฯลฯ ยังขาดการบูรณาการ แม้จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการต่าง ๆ ในทางปฏิบัติ ส่วนราชการต่าง ๆ ยังคงเรียกร้องขอเพิ่มอัตรากำลัง แทนการให้ความสำคัญกับการปรับระบบงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ทดแทนการปฏิบัติงานด้วยกำลังคน หรือการปรับรูปแบบการปฏิบัติราชการให้ยืดหยุ่น รองรับกับความต้องการของกำลังคนรุ่นใหม๋ มุ่งเน้นการวัดผลงาน เช่น การทำงานแบบยืดหยุ่น (Hybrid Work) การให้ความสำคัญกับการรักษากำลังคน และด้วยปัญหาประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ และรูปแบบการบริหารจัดการเกี่ยวกับกำลังคน  ส่งผลให้ค่าตอบแทนของข้าราชการต่ำกว่าค่าตอบแทนภาคเอกชน 

โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ให้ปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุข้าราชการ ระดับปริญญาตรีจาก 15,000 บาท เป็น 18,000 บาท ซึ่งต้องใช้การทยอยปรับอัตราแรกบรรจุดังกล่าวถึง 2 ปี เพื่อให้เงินเดือนข้าราชการใกล้เคียงกับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของตำแหน่งในสายสังคมศาสตร์ในภาคเอกชน ดังนั้น ด้วยปัญหาโครงสร้างอายุประชากรและประสิทธิภาพของระบบราชการ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเร่งรัดการบริหารจัดการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและการพัฒนา “คน” โดย “ผู้นำส่วนราชการ” เป็นปัจจัยสำคัญที่จะสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การสร้างให้ระบบราชการเกิดประสิทธิภาพจะต้องส่งเสริมให้หัวหน้าส่วนราชการมีภาวะผู้นำ กล้าสร้างความเปลี่ยนแปลง และต้องบริหารจัดการให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสม ทั้งนี้ หน่วยงานกลางที่กำกับการบริหารแผนงาน เงิน คน ก็ควรปรับขั้นตอนและกระบวนการเพื่อให้กลไกการบริหารมีความคล่องตัว เน้นประสิทธิภาพ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเรื่อง Size & Cost อันนำไปสู่การลดขนาดกำลังคน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินงบประมาณ และมุ่งผลลัพธ์ในการจัดทำบริการสาธารณะ

ในระบบราชการหรือระบบขององค์กรใด  ๆ คุณภาพของ “คน” คือ หัวใจสำคัญ ประเทศจำเป็นต้องมีข้าราชการที่เป็นคนดี คนเก่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์โครงสร้างประชากรสูงอายุ คนรุ่นใหม่มีจำนวนน้อยลง และมีคุณลักษณะ มุมมองต่อการใช้ชีวิตบนฐานเทคโนโลยีดิจิทัล ระบบค่าตอบแทนปัจจุบัน ตลอดจนปัญหาของระบบราชการกลายเป็นจุดไม่ดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้าสู่ระบบราชการ ในระยะยาว หากคนดีคนเก่งเบือนหน้าหนีจากระบบราชการ กลไกหลักของประเทศจะยิ่งมีปัญหา เพราะข้าราชการมืออาชีพ เก่งและดี เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาระบบราชการ

ปัจจุบัน ระบบค่าตอบแทนรวมของข้าราชการเน้นการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นสวัสดิการต่าง ๆ รวมถึงสวัสดิการรักษาพยาบาลและบำเหน็จบำนาญ ซึ่งเป็นองค์ประกอบค่าตอบแทนระยะยาว แต่เงินเดือนแรกบรรจุและเงินเดือนตลอดช่วงชีวิตการทำงานน้อยกว่าการทำงานในภาคเอกชน ในขณะที่คนรุ่นใหม่มีความเท่าทันเทคโนโลยีต่าง  ๆ ต้องการความยืดหยุ่น เห็นผลงานเร็ว มีค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับผลงาน ระบบบริหารทรัพยากรบุคคลและระบบค่าตอบแทนของราชการจึงมีความจำเป็นต้องปรับให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกการเรียนรู้และความต้องการของคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบราชการด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ก็จำเป็นต้องมีข้าราชการที่มีความรู้ทางดิจิทัลที่เท่าทันโลก เพราะข้าราชการคือผู้ที่รู้ใน Content ของงาน หากมีความรู้ที่เท่าทันโลกดิจิทัล ก็จะสามารถปรับใช้ประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น

Game Changers
เพื่อ “ลดขนาดภาครัฐและบริหารบุคลากร”

ข้อเสนอที่ 1: กำหนดให้หัวหน้าส่วนราชการเป็น CEO ในการบริหารงาน เงิน คน โดยมีการดำเนินการดังนี้

  • ควบคุมค่าใช้จ่ายด้านบุคคลด้วยวงเงินงบประมาณ และหัวหน้าส่วนราชการทำหน้าที่ CEO มีเป้าหมายในการปรับสัดส่วนงบประจำและงบลงทุน โดยจัดกลุ่มส่วนราชการที่มีลักษณะการบริหารกำลังคนแบบ Labour Intensive กับส่วนราชการที่มีงบประมาณในสัดส่วนที่สูงมาก (รูปที่ 32) เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงคมนาคม เป็นต้น โดยพิจารณาควบคู่กันระหว่างการบริหารอัตรากำลังกับการปรับใช้ระบบเทคโนโลยีดิจิทัลของส่วนราชการ ส่วนราชการจะต้องนำเสนอแผนและผลของการปรับใช้เทคโนโลยีและคำขออัตรากำลังควบคู่กัน เพื่อเร่งการลดอัตรากำลังของระบบราชการ
  • เพิ่มประสิทธิภาพงานบริหารจัดการของส่วนราชการ โดยหน่วยงานกลางปรับลดขั้นตอนของกระบวนงานและใช้ระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งด้านการบริหารงาน การบริหารเงิน และการบริหารคน

ข้อเสนอที่ 2: ปรับระบบบริหารทรัพยากรบุคคลเพื่อราชการมีคนดี คนเก่ง

  • ปรับระบบบริหารทรัพยากรบุคคลให้สอดรับกับทิศทางการเรียนรู้ใหม่แบบ Credit Bank[1] และ Dual Education[2] ให้ภาคราชการมีระบบการสรรหา การคัดเลือก การบรรจุแต่งตั้ง เส้นทางก้าวหน้า การพัฒนา การประเมินผลงาน และการจ่ายค่าตอบแทน ที่ยืดหยุ่น คล่องตัวต่อการจัดอัตรากำลังให้เหมาะสมกับภารกิจของส่วนราชการ และคุ้มค่าในการใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชน
  • ปรับรูปแบบการปฏิบัติราชการให้รองรับการจ้างงานแบบสายอาชีพ แบบ Skill-based/Competency-based ตลอดจนรองรับการจ้างงานแบบ Gig Economy[3] ซึ่งเป็นทิศทางใหม่ของโลกการเรียนรู้และความสนใจของคนรุ่นใหม่ โดยเป็นการต่อยอดจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565 เห็นชอบแนวทางการปฏิบัติราชการที่รองรับการทำงานและชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ส่วนราชการสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการปฏิบัติราชการให้ยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล แนวทางดังกล่าวนำเสนอรูปแบบการปฏิบัติราชการ 3 รูปแบบ ได้แก่
    1) การปฏิบัติราชการในสถานที่ตั้งโดยการเหลื่อมเวลา
    2) การปฏิบัติราชการในสถานที่ตั้งโดยการนับชั่วโมงการทำงาน และ
    3) การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
    ซึ่งแนวคิดของแนวทางดังกล่าว คือ การทำให้ระบบราชการมีการจ้างงานแบบผสมผสาน หรือ Hybrid Work ซึ่งเป็นรูปแบบความยืดหยุ่นที่สอดคล้องกับแนวทางการบริหารกำลังคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตบนโลกดิจิทัล
  • เพิ่มรูปแบบ Total Pay Mix ของข้าราชการให้เหมาะสมกับการจูงใจคนคุณภาพเข้าสู่ระบบราชการมากกว่าการรอรับสิทธิประโยชน์ในระยะยาว โดยการปรับสัดส่วนของค่าตอบแทนรวมของข้าราชการ จากปัจจุบันที่จ่ายค่าตอบแทนระยะสั้นน้อย ระยะยาวสูง กล่าวคือ เงินเดือนข้าราชการต่ำกว่าภาคเอกชน แต่ในระยะยาว ข้าราชการมีสิทธิที่จะได้รับบำเหน็จบำนาญ บนแนวคิดของการจ้างงานตลอดชีพ (Lifetime Employment) ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่มุ่งเน้นค่าตอบแทนระยะสั้นที่สูงและจูงใจ มุ่งเน้นการเรียนรู้ และมีการเปลี่ยนงานบ่อย มากกว่าการรอรับสิทธิประโยชน์ในระยะยาว

[1] Credit Bank คือ การสะสมหน่วยการเรียนรู้หรือธนาคารหน่วยกิตเป็นการดำเนินการเพื่อเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนและประชาชนได้นำผลการเรียนรู้และประสบการณ์การทำงานหรืออาชีพทั้งในระบบ นอกระบบและตามอัธยาศัย มาทำการรับรองและเทียบโอนกันได้

[2] Dual Education คือ ระบบการศึกษาทวิภาคี โดยในประเทศไทย คือ รูปแบบการศึกษาที่ผสมผสานระหว่างการเรียนในสถานศึกษากับการฝึกงานในสถานประกอบการจริง โดยนักเรียนหรือผู้ฝึกหัดจะได้รับการศึกษาทั้งในด้านทฤษฎีที่สถานศึกษาและการปฏิบัติจริงที่สถานประกอบการ ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนมีทักษะและประสบการณ์ที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน

[3] Gig Economy คือระบบเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากงานแบบครั้งคราวหรืองานที่รับจ้างแล้วจบไป ปัจจัยที่ทำให้ Gig Economy เติบโต ได้แก่ 1) รูปแบบการจ้างงานที่เปลี่ยนไป 2) เทคโนโลยีที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด 3) ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ไม่เหมือนเดิมและ
4) แนวคิดเศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy)

ข้อเสนอที่ 3: ส่งเสริมการเรียนรู้เทคโนโลยีดิจิทัลที่สำคัญ อาทิ Artificial Intelligence (AI) และMachine Learning (ML) ให้กับบุคลากรในหน่วยงาน เพื่อให้เกิดความเท่าทันและสามารถนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ในการทำงานของหน่วยงาน

License One

“License One” เป็นพอร์ทัลการออกใบอนุญาตธุรกิจที่เปิดตัวครั้งแรกในสิงคโปร์เมื่อปี 2559 โดยมีเป้าหมายหลักในการยกระดับกระบวนการขอใบอนุญาตธุรกิจให้มีความง่ายและรวดเร็วมากขึ้น ผ่านการรวมกระบวนการที่หลากหลายซึ่งเกี่ยวข้องกับการขอใบอนุญาตในสิงคโปร์มาไว้ในที่เดียว

ในช่วงเริ่มต้น โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือธุรกิจใหม่ ๆ ที่ต้องการขอใบอนุญาตต่าง ๆ ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งปกติแล้วจะต้องติดต่อกับหลายหน่วยงาน ทำให้กระบวนการนี้มีความซับซ้อนและใช้เวลามาก “License One” จึงเข้ามาช่วยในการลดความซับซ้อน โดยการรวบรวมบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไว้ในพอร์ทัลเดียว และทำให้สามารถยื่นขอใบอนุญาตหลายใบจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้พร้อมกันผ่านระบบออนไลน์

“License One” ยังมีระบบที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถชำระค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับใบอนุญาตได้อย่างง่ายดาย และสามารถติดตามความคืบหน้าของการขอใบอนุญาตผ่าน Dashboard ที่ให้ข้อมูลที่ชัดเจนและทันสมัย นอกจากนี้ ระบบยังช่วยแจ้งเตือนผู้ใช้เกี่ยวกับขั้นตอนที่ต้องดำเนินการต่อไป รวมถึงการต่ออายุใบอนุญาตที่จำเป็น

ต่อมา ในปี 2563 พอร์ทัลนี้ได้รับการรีแบรนด์เป็น “GoBusiness Licensing” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลสิงคโปร์ในการปรับปรุงและพัฒนาโครงการให้ทันสมัยและเหมาะสมกับความต้องการของภาคธุรกิจมากยิ่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ยังสอดคล้องกับการขยายบริการในพอร์ทัลให้ครอบคลุมการดำเนินงานที่กว้างขวางมากขึ้น รวมถึงการเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์ม GoBusiness ซึ่งเป็นพอร์ทัลแบบครบวงจรที่ให้บริการด้านธุรกิจต่าง ๆ ของรัฐบาลสิงคโปร์

โครงการนี้ยังถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการที่รัฐบาลสิงคโปร์มุ่งเน้นการกระจายอำนาจ และการใช้แนวทาง Outsource ในการบริหารจัดการ โดยทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อให้บริการมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงนำเทคโนโลยีมาใช้ในการปรับปรุงการดำเนินงานของภาครัฐ ซึ่งมีผลให้ทั้งรัฐบาลและภาคธุรกิจสามารถดำเนินการร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น

Thai Passport กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ริเริ่มการว่าจ้างบริษัทเอกชนเพื่อให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการออกหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์แบบเบ็ดเสร็จตั้งแต่ปี 2548 การดำเนินการนี้มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพของการให้บริการ โดยเฉพาะในด้านความสะดวกและความรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนให้ความชื่นชมอย่างมาก

การจ้างบริษัทเอกชนเข้ามาดำเนินการช่วยให้หน่วยงานรัฐสามารถเข้าถึงความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและเทคโนโลยีที่ทันสมัยของเอกชน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาระบบการออกหนังสือเดินทางให้มีความรวดเร็วและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ระบบจัดเก็บข้อมูลชีวมาตรต่าง ๆ เช่น ลายนิ้วมือและภาพถ่ายใบหน้าที่มีความแม่นยำสูง ซึ่งช่วยลดปัญหาการปลอมแปลงและเพิ่มความน่าเชื่อถือของหนังสือเดินทาง

ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวนอกจากจะช่วยให้กระทรวงสามารถปรับตัวต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประชาชนในการใช้บริการ โดยไม่ต้องเสียเวลาและทรัพยากรในการพัฒนาระบบภายในของตนเอง ยังสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว และยังช่วยลดภาระงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้สามารถมุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการและควบคุมคุณภาพของการให้บริการได้ดียิ่งขึ้น

การนำเอกชนเข้ามาช่วยในกระบวนการนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการบริหารจัดการสมัยใหม่ที่เรียกว่า Public-Private Partnership (PPP) ซึ่งเน้นการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในการให้บริการสาธารณะ โดยรัฐสามารถใช้ประโยชน์จากประสบการณ์และทรัพยากรของเอกชนในการพัฒนาบริการใหม่ ๆ หรือปรับปรุงบริการเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในแง่ของคุณภาพการให้บริการและการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่