จุดเปลี่ยนที่ 8 “เร่งสร้าง Digital Government”

ในยุคปัจจุบัน สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของธุรกิจและอุตสาหกรรม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการทำธุรกิจ การสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ และการปรับตัวขององค์กรเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ เทคโนโลยียังส่งผลต่อการวางแผนและกลยุทธ์ของประเทศ โดยภาครัฐต้องปรับตัวให้ทันกับเทรนด์ใหม่ ๆ เพื่อกำหนดทิศทางและนโยบายที่เหมาะสมในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม พร้อมนำเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเหล่านี้มาเร่งสร้างระบบ Digital Government เพื่อยกระดับการให้บริการภาครัฐ

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางข้อมูลและดิจิทัล

ในโลกยุคใหม่ การใช้ข้อมูลเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อยอดธุรกิจและอุตสาหกรรมให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก การประยุกต์ใช้ Big Data และ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้ธุรกิจสามารถคาดการณ์แนวโน้มตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ ทำให้สามารถวางแผนการผลิต การตลาด และการจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาและสนับสนุนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด และอุตสาหกรรมสุขภาพ ต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

 

สำหรับภาครัฐ การวางแผนและกลยุทธ์ของรัฐมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ รวมถึงการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม โดยการใช้ข้อมูลในการวางแผนการจัดสรรทรัพยากร การพัฒนานโยบายสาธารณะ และการติดตามผลการดำเนินงานของโครงการต่าง ๆ จะช่วยให้การดำเนินงานของภาครัฐมีประสิทธิภาพและโปร่งใสมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การใช้ข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ความต้องการและปัญหาของกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง จะช่วยให้รัฐบาลสามารถกำหนดนโยบายที่ตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม ด้วยเหตุนี้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางข้อมูลและเทคโนโลยีดิจิทัล จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ประเทศไทยสามารถปรับตัวและแข่งขันได้ในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อให้ภาครัฐสามารถวางแผนและดำเนินนโยบายที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน

ปัญหาของหน่วยงานรัฐบาลและระบบราชการไทย

McKinsey Global Institute ได้ทำการวิจัยว่าภาครัฐและภาคประชาสังคมทั่วโลกสูญเสียโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ จากการไม่สามารถใช้ประโยชน์สูงสุดจากข้อมูลกว่า 42 ล้านล้านบาทต่อปี และกว่า 300 ล้านล้านบาทต่อปีหากร่วมในส่วนของโอกาสที่สูญไปในส่วนขององค์กรภาคเอกชน[1]

ในส่วนของประเทศไทย ประสิทธิภาพการให้บริการของรัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของไทยได้ถูกจัดอันดับที่อันดับ 57 โดย United Nation ซึ่งอันดับดังกล่าวชี้วัดถึงประสิทธิภาพการให้บริการของรัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งครอบคลุมถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการบริการทางออนไลน์ โครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการเข้าถึงบริการของประชาชน รวมทั้งความสามารถของบุคลากร[2]

“Digital Government จะเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐ ในการลดปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น”

ทั้งนี้ การขาดแพลตฟอร์มดิจิทัลของภาครัฐที่ครบวงจร ทำให้ประชาชนนั้นได้รับผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและการประกอบธุรกิจ ที่ต้องพึ่งพาข้อมูล การขออนุญาต และการให้บริการของภาครัฐ ซึ่งในการใช้บริการรัฐบาลของภาครัฐ ภาคธุรกิจและประชาชนยังคงต้องเดินทางไปยังหน่วยงานรัฐด้วยตนเอง ซึ่งทำให้ต้องเสียเวลาและทรัพยากรโดยไม่จำเป็น และยิ่งไปกว่านั้น จากการจัดการข้อมูลภายในหน่วยงานรัฐบาลที่ปัจจุบันเก็บข้อมูลแยกจากกันและขาดการเชื่อมโยงกัน ทำให้หน่วยงานรัฐบาลไม่สามารถใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การขาดการรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ที่เพียงพอนี้ส่งผลให้การตัดสินใจและการดำเนินงานภาครัฐไม่ได้รับการสนับสนุนจากข้อมูลที่ทันสมัยและครบถ้วน ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลไทยจะต้องพัฒนาแพลตฟอร์มรัฐบาลดิจิทัลหรือ Digital Government เพื่อช่วยให้ข้อมูลและบริการของรัฐเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงานและลดโอกาสการทุจริต จากดัชนีการรับรู้การทุจริตขององค์กรโปร่งใสนานาชาติ ประเทศไทยยังมีอันดับที่ต้องการการปรับปรุง  และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถช่วยลดการทุจริตได้โดยการทำให้กระบวนการเป็นไปโดยอัตโนมัติและลดการแทรกแซงของมนุษย์

นอกจากนี้ ในอนาคตภาครัฐยังจำเป็นต้องนำ Big Data และ AI มาใช้ในการตัดสินใจซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนในสังคม เช่น การวางแผนเมือง การดูแลสุขภาพ และการรักษาสิ่งแวดล้อม การใช้ข้อมูลที่ครบถ้วนและทันสมัยจะช่วยให้รัฐบาลสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

กรอบแนวทางการแก้ปัญหา

ในระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีพัฒนาการความก้าวหน้าด้านรัฐบาลดิจิทัลเป็นลำดับ ซึ่งปัจจุบันความสามารถด้านรัฐบาลดิจิทัลของไทยอยู่ในระดับ 2 จากทั้งหมด 5 ระดับ โดยมีความสำเร็จในหลายด้าน เช่นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ได้แก่ ระบบคลาวด์กลางภาครัฐ บัตรประชาชนดิจิทัล แอปพลิเคชั่นทางรัฐที่รวมบริการภาครัฐต่าง ๆ แต่การที่ประเทศไทยจะสามารถนำดิจิทัลมาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างเต็มศักยภาพนั้น ประเทศไทยยังต้องมีการดำเนินการแก้ปัญหาในหลายด้านดังนี้

  1. การบูรณาการการแลกเปลี่ยนข้อมลและใช้ประโยชน์จากข้อมูล

การบูรณาการการแลกเปลี่ยนข้อมูลและใช้ประโยชน์จากข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินนโยบายด้านดิจิทัลทรานซ์ฟอร์มเมชั่น (Digital Transformation) ของประเทศ โดยการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ จะช่วยสร้างมาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และเสริมสร้างความโปร่งใสในการทำงานภาครัฐ การบูรณาการข้อมูลจะช่วยลดความซ้ำซ้อนของงาน และช่วยให้มีข้อมูลที่เพียงพอและถูกต้องในการตัดสินใจ การนำเทคโนโลยีเกิดใหม่มาใช้จะช่วยปรับปรุงการให้บริการและการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการมีระบบรายงานผลที่ทันสมัยและติดตามตัวชี้วัดอย่างเป็นระบบ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของนโยบายและการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน นอกจากนี้ การใช้ข้อมูลในการตัดสินใจจะช่วยเพิ่มความแม่นยำและความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายระดับประเทศให้สอดคล้องกับสถานการณ์และความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป (รูปที่ 27)

  1. การยกระดับบริการภาครัฐและโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลเพื่อประชาชน

การยกระดับระบบข้อมูล โครงสร้างพื้นฐาน และบริการภาครัฐเพื่อประชาชน มุ่งเน้นการสร้างระบบข้อมูลที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางโดยพัฒนาระบบ National ID ที่ใช้ในการเข้าถึงบริการภาครัฐทั้งหมดอย่างสะดวกและปลอดภัย รวมถึงการพัฒนาระบบยืนยันตัวตนแบบเดียวและการเชื่อมโยงกับลายเซ็นอิเล็กโทรนิกส์ เพื่อสร้างแพลตฟอร์มบริการที่ครบวงจร นอกจากนี้ยังเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในด้านการเชื่อมต่อข้อมูลบนคลาวด์ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงและความปลอดภัย การให้ข้อมูลที่เพียงพอและโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมจะช่วยให้ประชาชน โดยเฉพาะภาคธุรกิจและกลุ่มเปราะบาง สามารถเข้าถึงข้อมูลและนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาธุรกิจและชีวิตความเป็นอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลจำเป็นต้องยกระดับข้อมูลที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้เพื่อให้เป็นประโยชน์ในการต่อยอดและสร้างโอกาสทางธุรกิจในอนาคต อีกทั้งยังเน้นส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างยั่งยืน

  1. การพัฒนาทักษะของบุคลากรในประเทศด้านดิจิทัล

การพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้กับบุคลากรภายในประเทศเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ประชากรและแรงงานสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริม Digital Literacy และการศึกษาเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ช่วยเพิ่มความตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยและการใช้งานเทคโนโลยีอย่างรับผิดชอบ การสนับสนุนธุรกิจและโครงการที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลเทคโนโลยี เช่น สตาร์ทอัพ จะช่วยกระตุ้นนวัตกรรมและการพัฒนาบุคลากรในสาขานี้ การลงทุนในโครงการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะทาง IT เช่น AI วิทยาการข้อมูล และความปลอดภัยทางไซเบอร์ จะสร้างแรงงานที่มีความสามารถและตอบสนองต่อความต้องการในยุคดิจิทัล ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยการแข่งขันและพึ่งพาดิจิทัลเทคโนโลยีในการดำเนินงานและเพิ่มประสิทธิภาพ การเตรียมความพร้อมด้านทักษะดิจิทัลจะช่วยให้ประเทศสามารถแข่งขันในตลาดโลกและพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

Game Changers
เพื่อ “เร่งสร้าง Digital Government”

ข้อเสนอที่ 1: บูรณาการการแลกเปลี่ยนข้อมูลและใช้ประโยชน์จากข้อมูล การนำประเทศสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างหน่วยงานต่าง  ๆ เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ การวางยุทธศาสตร์และจัดสรรทรัพยากรที่สอดคล้องกับทิศทางของประเทศ รวมถึงการสนับสนุนมาตรการพัฒนาและแลกเปลี่ยนข้อมูลภาครัฐ มีความสำคัญดังนี้:

  • การพัฒนาข้อมูลในหน่วยงานต่าง ๆ ให้เป็นดิจิทัล (Digitalization) เพื่อสร้างฐานข้อมูลในรูปแบบดิจิทัลและลดการใช้กระดาษ พร้อมกำหนดมาตรฐานข้อมูลและการแลกเปลี่ยนรวมทั้งการกำหนดมาตรฐานของภาคเอกชนที่จะรับงานภาครัฐในการพัฒนา Digitalization และจัดทำ Provider List
  • ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากนโยบาย “Cloud First” โดยการกำหนดแนวทางการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์นโยบายและติดตามประสิทธิภาพการบริหารประเทศ
  • นำเทคโนโลยีเกิดใหม่ เช่น AI บล็อกเชน และ IoT มาใช้ในการปรับปรุงการให้บริการ เพิ่มความโปร่งใส และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงบประมาณ โดยใช้ AI ในการวิเคราะห์เพื่อบูรณาการโครงการ ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ (Fraud Detection) รวมถึงการพยากรณ์และสร้างแบบจำลองในการใช้งบประมาณในรูปแบบต่าง ๆ
  • พัฒนาระบบการรายงานผลการดำเนินงานในประเทศในเชิงกลยุทธ์ ผ่าน National Intelligent Dashboard (รูปที่ 28) เพื่อสร้างการบริหารจัดการด้วยข้อมูลจริง การติดตามตัวชี้วัดอย่างเป็นระบบ ทั้งการบริหารจัดการทั่วไปและข้อมูลเชิงกลยุทธ์ โดยความร่วมมือระหว่างสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ และสำนักงานพัฒนาธุรกิจดิจิทัล และหน่วยงานในกำกับของกระทรวงดิจิทัล การบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงาน จะช่วยให้การตัดสินใจนโยบายและการให้บริการของรัฐมีความแม่นยำและยืดหยุ่นมากขึ้น โดยอาจจัดให้มีการติดตามตัวชี้วัดอย่างเป็นระบบทั้งการบริหารจัดการทั่วไปและข้อมูลเชิงกลยุทธ์สำหรับโครงการ Ignite Thailand รวมทั้งการถ่ายทอดตัวชี้วัดลงสู่องค์กร ผ่าน National Intelligent Dashboard และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่และ AI เพื่อปรับปรุงการตัดสินใจ การกำหนดนโยบาย และการให้บริการ อาทิ การเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ Health Link ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพของโรงพยาบาลในสังกัดนอกกระทรวงสาธารณสุข กับแพลตฟอร์มข้อมูลสุขภาพของสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น (รูปที่ 29)

ข้อเสนอที่ 2: ยกระดับระบบข้อมูลโครงสร้างพื้นฐาน และบริการภาครัฐเพื่อประชาชน การพัฒนาระบบข้อมูลและบริการที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง เป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยในการเข้าถึงบริการภาครัฐ โดยการพัฒนาระบบ ThaID ให้เป็น National ID ของประเทศ เพื่อใช้เป็นระบบการยืนยันตัวตนที่เป็นมาตรฐานเดียวในการเข้าถึงบริการภาครัฐ รวมถึงการพัฒนา Single-source Database ที่ได้รับการตรวจสอบและเชื่อมโยงกับระบบลายเซ็นต์อิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) เพื่อการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ การยกระดับการบริการประชาชนด้วยระบบดิจิทัล (One Stop Service) และการใช้ Digital Wallet จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับประชาชน

  • พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลแบบรวมศูนย์ ที่ใช้ระบบ Single Sign-On เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการรัฐบาลทั้งหมดได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านการระบุตัวตนดิจิทัล การชำระเงินออนไลน์ และศูนย์บริการแบบครบวงจร โดยไม่ต้องไปที่หน่วยงานราชการ การใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการสื่อสารกับประชาชน จะช่วยให้ข้อมูลที่อัปเดตและข้อเสนอแนะจากประชาชนสามารถนำไปใช้พัฒนาการให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่จำเป็น เช่น การเชื่อมต่อข้อมูลบนคลาวด์ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) และโครงสร้างด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น Digital ID, Payment Gateway รวมถึงการประกาศมาตรฐานเพื่อเปิดโอกาสให้นักพัฒนาระบบเข้ามาร่วมสร้างสรรค์ระบบต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยึดหลักความคุ้มค่า (Affordability) การเข้าถึงได้ (Accessibility) และความรับผิดชอบ (Accountability)
  • ส่งเสริมโครงการที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางโทรคมนาคม รวมถึงการส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit) การเสริมสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และการจัดทำ Open Data ของประเทศ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
  • ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างยั่งยืน

ข้อเสนอที่ 3: พัฒนาทักษะของบุคลากรในประเทศด้านดิจิทัล
การพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้กับบุคลากรและประชาชนเป็นสิ่งสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้ประเทศสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมความรู้ดิจิทัล (Digital Literacy) และการศึกษาเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ จะช่วยเพิ่มความตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยและการใช้งานเทคโนโลยีอย่างรับผิดชอบ นอกจากนี้ การสนับสนุนธุรกิจและโครงการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น สตาร์ทอัพ จะช่วยกระตุ้นนวัตกรรมและพัฒนาบุคลากรในสาขาดิจิทัล

  • ส่งเสริมการศึกษาด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และดำเนินการแคมเปญสร้างความตระหนักรู้ทั่วประเทศ รวมถึงการบูรณาการความปลอดภัยทางไซเบอร์ในหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียน
  • ขยายโครงการความรู้ดิจิทัลไปยังพื้นที่ชนบทและกลุ่มประชากรที่มีความเปราะบาง เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัล
  • การพัฒนาแรงงานดิจิทัลด้วยการลงทุนในโครงการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะด้าน IT เช่น AI, วิทยาการข้อมูล, และความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อเตรียมแรงงานที่มีความสามารถและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดแรงงานยุคดิจิทัล

การดำเนินการตามข้อเสนอเหล่านี้ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในตลาดโลก

โครงการ Digital Platform Government ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี

โครงการ “Digital Platform Government” ของประเทศสาธารณรัฐเกาหลีเป็นหนึ่งในกลยุทธ์นวัตกรรมใหม่ ที่รัฐบาลเกาหลีใต้ภายใต้การนำของประธานาธิบดี ยุน ซุกยอล (Yoon Suk Yeol) ได้เสนอขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อปฏิรูประบบการดำเนินงานพื้นฐานของรัฐบาลโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) เพื่อให้รัฐบาลสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น วิสัยทัศน์ของโครงการนี้มุ่งเน้นให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง (People-centered) โดยรัฐบาลจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการที่โปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ ร่วมกับการขับเคลื่อนการเติบโตของทั้งภาครัฐและเอกชนผ่านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เกาหลีใต้มีพื้นฐานโครงสร้าง ICT ที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมนี้

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เกาหลีใต้ได้สร้างและดำเนินการระบบ E-Government ที่ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยประเทศอยู่ในอันดับต้น ๆ ของดัชนีการพัฒนา E-Government ของสหประชาชาติมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2553 ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในช่วงแรก เช่น ระบบ Digital ID ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ การทำธุรกรรมผ่านระบบ One Stop Service และการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน

การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ช่วยให้รัฐบาลสามารถใช้ประโยชน์จากการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และปัญญาประดิษฐ์ในการวางแผนและพัฒนาประเทศ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน นอกจากนี้ ระบบยังได้รับการออกแบบให้มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้โดยประชาชน เพื่อลดปัญหาคอร์รัปชันและสร้างความไว้วางใจระหว่างประชาชนกับรัฐบาล

โครงการ e-Estonia ประเทศเอสโตเนีย

โครงการ “e-Estonia” เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ในการพัฒนาประเทศ หลังจากที่เอสโตเนียได้รับเอกราชจากสหภาพโซเวียตเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน โดยเอสโตเนียเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่ต้องสร้างทุกอย่างขึ้นใหม่จากศูนย์ เนื่องจากขาดโครงสร้างพื้นฐาน การบริหาร หรือกฎหมายที่รองรับ รัฐบาลเอสโตเนียในขณะนั้นตัดสินใจอย่างกล้าหาญที่จะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นพื้นฐานในการพัฒนาประเทศ ภายใต้แนวคิด “e-Estonia” ซึ่งมุ่งเน้นให้ธุรกรรมและการบริการทั้งหมดดำเนินผ่านระบบออนไลน์ เช่น การยื่นภาษี การขอวีซ่า และการตรวจสอบประวัติสุขภาพ

หนึ่งในหลักการสำคัญของโครงการ e-Estonia คือการสร้างความเชื่อถือ (Trust) ระหว่างประชาชนและรัฐบาลผ่านระบบดิจิทัลที่ปลอดภัยและโปร่งใส โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและการเป็นเจ้าของข้อมูลของประชาชนผ่านแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล X-Road ซึ่งเป็นระบบที่ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ และสามารถเข้าถึงได้จากแหล่งเดียว (Single-source Database) ระบบนี้ใช้หลักการยืนยันตัวตนเพียงครั้งเดียวจากทะเบียนราษฎร์ (Once-only Principle) เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการขอข้อมูล พร้อมกับการพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยและการฝึกอบรมบุคลากร นอกจากนี้ รัฐบาลเอสโตเนียยังได้นำแนวคิด Green Economy มาใช้ในการพัฒนาโครงการ โดยส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนและการประหยัดพลังงานในศูนย์ข้อมูล รวมทั้ง ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบริการสาธารณะผ่านการใช้ข้อมูลเปิด (Open Data) และการเปิดเผยซอร์สโค้ดของบริการสาธารณะ เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชน

ระบบ e-ID ของเอสโตเนียถือเป็นแกนหลักของการยืนยันตัวตนในประเทศ โดยประกอบด้วยหมายเลขประจำตัวประชาชน 11 หลักที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยบัตรประจำตัวประชาชนอิเล็กทรอนิกส์ (e-ID card) นี้ถูกนำมาใช้ในการระบุตัวตนทางกายภาพและอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ยังมี e-ID ในรูปแบบอื่น ๆ เช่น บัตรมือถือ (Mobile-ID) และบัตรดิจิทัล (Digi-ID) ที่สามารถเชื่อมโยงกับบัตร e-ID เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตนเพียงแหล่งเดียว ซึ่งระบบนี้ใช้เทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานกุญแจสาธารณะ (Public Key Infrastructure: PKI) เพื่อความปลอดภัยในการลงนามและรับรองความถูกต้อง

รัฐบาลเอสโตเนียเริ่มพัฒนาระบบ e-ID ในปี 2545 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากประเทศฟินแลนด์ แต่ต่างกันที่เอสโตเนียตัดสินใจให้บัตรประจำตัวประชาชนอิเล็กทรอนิกส์เป็นบัตรบังคับใช้สำหรับประชาชนทุกคน ส่งผลให้ในปี 2563 มีประชาชนชาวเอสโตเนียถึง 98% ที่ถือบัตร e-ID ในขณะที่ฟินแลนด์มีเพียง 40-46% เท่านั้น

นโยบาย e-ID ทำให้ประชาชนชาวเอสโตเนียสามารถยื่นภาษีออนไลน์ได้อย่างปลอดภัยถึงร้อยละ 98% รวมถึงการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเลือกตั้งท้องถิ่น และการเลือกตั้งสมาชิกสภายุโรปผ่านทางออนไลน์ นอกจากนี้ ระบบ e-ID ยังถูกใช้ในการลงนามเอกสารออนไลน์ การเข้าถึงบริการธนาคารออนไลน์ ข้อมูลทางการแพทย์ และการตรวจสอบใบขับขี่

การใช้ระบบ e-ID ของเอสโตเนียเป็นตัวอย่างที่สำคัญที่ประเทศไทยควรนำไปพิจารณาในการพัฒนาระบบ ThaID เพื่อให้เป็นระบบหลักของประเทศในทุกธุรกรรม ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มความง่ายในการจัดการข้อมูล ซึ่งจะช่วยให้รัฐบาลสามารถบริหารจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เกิดขึ้น

โครงการ Singapore Smart Nation ประเทศสิงคโปร์

ภายใต้วิสัยทัศน์ของรัฐบาลสิงคโปร์คือ “ดิจิทัลถึงใจ ให้บริการด้วยใจ” ซึ่งหมายถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้บริการนโยบายและบริการที่เป็นระบบ ไม่มีช่องว่าง และเป็นประโยชน์สำหรับประชาชนทุกคน ซึ่งโครงการดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 ที่เรียกว่า National Computerization จนปัจจุบันกลุ่ม Smart Nation and Digital Government (SNDGG) ได้ร่างแผนรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government Blueprint – DGB) เพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการให้บริการของรัฐบาลสิงคโปร์โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ร่างแผนนี้สร้างต่อจากพื้นฐานที่ถูกวางไว้ด้วยแผนการดำเนินงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ก่อนหน้านี้ (พ.ศ. 2561) ประกอบด้วย 3 ประเด็นหลัก ได้แก่

1) เชื่อมต่อ (Connect): การเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและความเชื่อมต่อ
2) รวบรวม (Collect): การใช้ข้อมูลเพื่อให้ความรู้และการตัดสินใจ และ
3) เข้าใจ (Comprehend): การใช้ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีเพื่อเปลี่ยนแปลงการให้บริการ

ในปี 2566 กระทรวงต่างๆทั้ง 20 กระทรวงได้ส่งข้อมูลเพื่อทำให้เกิดแผนการพัฒนาประเทศและแผนการ พัฒนารัฐบาลดิจิทัล (Digital Government Blueprint – DGB) โดยการนำการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence) มาใช้ในการวางแผนดังกล่าว

ในภาคการบริการประชาชน มีการพัฒนาด้านการเชื่อมโยงข้อมูลทางการแพทย์จากทุกหน่วยงานภายใต้โครงการ Health Hub โดยเป็นช่องทางหลัก One-Stop Service เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการรักษา เพิ่มความปลอดภัย ไม่เกิดความสับสนจากการรับข้อมูลหลายช่องทาง และส่งผลต่อการบริหารทรัพยากรสาธารณสุขอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้ข้อมูลจริง โดยนโยบายของประเทศ โรงพยาบาลมีหน้าที่ที่จะนำข้อมูลเข้าสู่ Health Hub เว้นแต่เจ้าของข้อมูลแสดงความจำนงไม่ส่งข้อมูลเข้าสู่ระบบ ภายใต้การจัดการข้อมูลอย่างให้มีประสิทธิภาพอย่างเป็นระบบ  ลดความซ้ำซ้อนยังทำให้เกิดโครงการมากมายเช่น Smart homes ที่ใช้เรื่องของ IoT เพื่อการจัดการพลังงาน Smart Mobility, Smart Environment ในการบริหารจัดการเมือง การบริการสาธารณะ รวมทั้ง Smart education เพื่อการจัดการศึกษาที่เหมาะสมทั้งในภาคบังคับ และภาคสมัครใจ ที่สอดรับกับความต้องการของประเทศ จากแผนพัฒนาดังกล่าว ส่งผลให้สิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับในอันดับที่ 12 ในการสำรวจรัฐบาลดิจิทัลของสหราชอาณาจักร (2565)

ดังนั้นความสำเร็จของประเทศสิงคโปร์มีความคล้ายคลึงกับประเทศเอสโตเนียในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลสำหรับการบริหารจัดการประเทศ การบริหารประเทศโดยใช้ข้อมูลจริง สร้างความโปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยนำการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และปัญญาประดิษฐ์มาใช้