หนึ่งในความท้าทายสำคัญที่ประเทศไทยกำลังเผชิญในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจแห่งอนาคต ที่เน้นการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เป็นเครื่องมือในการแข่งขันในระบบการค้าโลก ก็คือ การขาดแคลนแรงงานทักษะสูง (Talents) และการขาดความสามารถที่จะพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย (Technologies) ของตนเอง ทำให้ไทยต้องติดอยู่บนกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ไม่สามารถยกระดับรายได้ของประเทศก้าวขึ้นไปเป็นเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว เหมือนกรณีเกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวัน โดยผู้ประกอบการไทยที่ไม่สามารถก้าวขึ้นไปบนบันไดของเทคโนโลยีการผลิตแบบใหม่ ยังติดอยู่กับการผลิตแบบรับจ้างผลิต (OEM) ทำให้ได้ผลตอบแทนที่จำกัด และสุ่มเสี่ยงต่อการแข่งขันจากคู่แข่งในประเทศที่มีค่าจ้างแรงงานถูกกว่า ทำให้ท้ายสุด โรงงานไทยในอุตสาหกรรมเหล่านี้ จำต้องปิดตัวลงและยอมย้ายฐานไปยังประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ สิ่งทอ และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
สำหรับหนึ่งสาขาเศรษฐกิจที่สำคัญ ในโลกยุค 5.0 ที่เรากำลังก้าวเข้าไป ก็คือ สาขาดิจิทัล แรงงานที่มีทักษะทางดิจิทัลจะเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จของประเทศ โดยในปี 2565 ไทยมีความต้องการแรงงานที่มีทักษะเหล่านี้มากขึ้นอย่างเร่งด่วน มากกว่า 20,000 – 30,000 ตำแหน่งต่อปี และยิ่งทวีความต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม กลับมีบัณฑิตจบใหม่ในสาขานี้ไม่ถึง 6,000 คนต่อปี และจำเป็นต้องอาศัยเวลาและทรัพยากรในการพัฒนา โดยข้อจำกัดในการพัฒนา Talents เหล่านี้ ไม่จำกัดอยู่เพียงสาขาดิจิทัลเท่านั้น แต่ไทยยังขาดแรงงานที่เป็นกลุ่ม Professionals อื่น ๆ เช่น กลุ่มวิศวกร กลุ่มนักวิจัยที่จะเป็นผู้พัฒนาสินค้าใหม่ ๆ โดยประเทศไทยทั้งประเทศมีจำนวนนักวิจัยรวมทั้งประเทศเพียงประมาณ 10,000 คน กระจายตัวอยู่ตามมหาวิทยาลัยและบริษัทต่าง ๆ ขณะที่บางบริษัทของจีน เช่น Huawei มีนักวิจัยมากกว่า 60,000 คนในบริษัทเดียว ทำงานวิจัยค้นคว้าสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ตลอดเวลา
การขาดแคลนนักวิจัย และ Professionals เหล่านี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างและกระบวนการในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ของไทย ที่มีข้อจำกัดตั้งแต่ช่วงปฐมวัย ช่วงการศึกษาภาคบังคับ และในช่วงอุดมศึกษาที่ไทยเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในด้านสังคมศาสตร์เป็นหลัก และมีข้อจำกัดในการผลิตนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และนักวิศวกร ที่เป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศแบบใหม่ อันจะนำไปสู่การสร้างบริษัทแบบใหม่ในกลุ่ม Tech Startups ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มาเป็นหัวใจในการสร้างสรรค์บริการที่แตกต่าง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีบริษัทที่นับเป็น Unicorns เพียง 3 บริษัท ขณะที่จากข้อมูลของ World Population Review พบว่าในปี 2567 จีน อินเดีย สิงคโปร์ เกาหลี อินโดนีเซียและฮ่องกง มี Unicorns จำนวน 168, 71, 16, 14, 7 และ 6 บริษัท ตามลำดับ
การขาดแคลนนักวิจัย และ Professionals เหล่านี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างและกระบวนการในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ของไทย ที่มีข้อจำกัดตั้งแต่ช่วงปฐมวัย ช่วงการศึกษาภาคบังคับ และในช่วงอุดมศึกษาที่ไทยเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในด้านสังคมศาสตร์เป็นหลัก และมีข้อจำกัดในการผลิตนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และนักวิศวกร ที่เป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศแบบใหม่ อันจะนำไปสู่การสร้างบริษัทแบบใหม่ในกลุ่ม Tech Startups ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มาเป็นหัวใจในการสร้างสรรค์บริการที่แตกต่าง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีบริษัทที่นับเป็น Unicorns เพียง 3 บริษัท ขณะที่จากข้อมูลของ World Population Review พบว่าในปี 2567 จีน อินเดีย สิงคโปร์ เกาหลี อินโดนีเซียและฮ่องกง มี Unicorns จำนวน 168, 71, 16, 14, 7 และ 6 บริษัท ตามลำดับ
การขาดแคลนนักวิจัย และ Professionals เหล่านี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างและกระบวนการในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ของไทย ที่มีข้อจำกัดตั้งแต่ช่วงปฐมวัย ช่วงการศึกษาภาคบังคับ และในช่วงอุดมศึกษาที่ไทยเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในด้านสังคมศาสตร์เป็นหลัก และมีข้อจำกัดในการผลิตนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และนักวิศวกร ที่เป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศแบบใหม่ อันจะนำไปสู่การสร้างบริษัทแบบใหม่ในกลุ่ม Tech Startups ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มาเป็นหัวใจในการสร้างสรรค์บริการที่แตกต่าง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีบริษัทที่นับเป็น Unicorns เพียง 3 บริษัท ขณะที่จากข้อมูลของ World Population Review พบว่าในปี 2567 จีน อินเดีย สิงคโปร์ เกาหลี อินโดนีเซียและฮ่องกง มี Unicorns จำนวน 168, 71, 16, 14, 7 และ 6 บริษัท ตามลำดับ
การขาดแคลนนักวิจัย และ Professionals เหล่านี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างและกระบวนการในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ของไทย ที่มีข้อจำกัดตั้งแต่ช่วงปฐมวัย ช่วงการศึกษาภาคบังคับ และในช่วงอุดมศึกษาที่ไทยเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในด้านสังคมศาสตร์เป็นหลัก และมีข้อจำกัดในการผลิตนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และนักวิศวกร ที่เป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศแบบใหม่ อันจะนำไปสู่การสร้างบริษัทแบบใหม่ในกลุ่ม Tech Startups ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มาเป็นหัวใจในการสร้างสรรค์บริการที่แตกต่าง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีบริษัทที่นับเป็น Unicorns เพียง 3 บริษัท ขณะที่จากข้อมูลของ World Population Review พบว่าในปี 2567 จีน อินเดีย สิงคโปร์ เกาหลี อินโดนีเซียและฮ่องกง มี Unicorns จำนวน 168, 71, 16, 14, 7 และ 6 บริษัท ตามลำดับ
การที่ไทยพึ่งพาธุรกิจในกลุ่ม Traditional Sectors เช่น กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มธนาคาร กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตแบบเดิม ๆ และไม่มีความสามารถในการสร้างเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเราเอง จะเป็นข้อจำกัดสำคัญในอนาคตต่อการพัฒนาประเทศ ทำให้ GDP ของไทยเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้ากว่าคู่แข่ง ที่พยายามเร่งปรับเปลี่ยนเพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ไทยที่เน้นธุรกิจแบบเดิม ๆ ที่กำลังตกยุคเช่น กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มธนาคาร กลุ่มการรับจ้างผลิต ก็จะยากที่จะมีเสน่ห์ที่จะดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาโดยรวมของตลาดทุนไทย ที่ดัชนีจะมีผลตอบแทนที่ต่ำกว่า และขนาดตลาดทุนจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้ากว่าตลาดทุนประเทศอื่น ๆ ที่พยายามสร้างและนำบริษัทเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในกลุ่ม New Economy เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตลาด ซึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จในด้านนี้ เช่น สหรัฐฯ พบว่า Tech-Related Companies จะพัฒนาขึ้นเป็นผู้นำใหม่ของเศรษฐกิจทดแทนบริษัทแบบเดิม ๆ โดยปัจจุบัน กลุ่มบริษัท Top 10 ของสหรัฐมี 7 บริษัทที่เป็นบริษัทเทคโนโลยี คือ Apple, Microsoft, Google, Meta, Nvidia, Amazon และ Tesla โดยบริษัทเดิม ๆ เช่น ExxonMobil, Chevron, JP Morgan ได้กลายเป็นบริษัทแถวสอง
“ไทยต้องเรียนรู้ ที่จะยืมพลังต่างประเทศมาเป็นพลังของเรา โดยเฉพาะในเรื่อง Talents และ Technologies”
ในการที่จะก้าวข้ามข้อจำกัดและแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ ไทยมีความจำเป็นที่จะต้องยืมพลังต่างประเทศมาเป็นพลังของเรา ด้วยนโยบาย “Open Thailand” ที่จะเปิดกว้างมากขึ้นต่อ Talents และ Technologies จากต่างประเทศ นำคนและเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามา Jump-start ให้คนไทยมีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตและสินค้าใหม่ ๆ มีโอกาสเรียนรู้อย่างใกล้ชิดจาก Talents และ Technologies จากต่างประเทศ ทำให้สามารถ Upskill ของตนเองไปอีกระดับ โดยเฉพาะในช่วงระหว่างเวลาที่เราต้องใช้ในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและกระบวนการพัฒนาคนของไทยครั้งใหญ่ ในระดับอุดมศึกษา ที่จะสร้าง New Talents ของไทย ที่ตอบโจทย์ความท้าทายจาก Technological Disruption เหล่านี้ได้ และใช้พลังที่มาจาก Talents จากต่างประเทศและจาก Talents ที่เราพัฒนาขึ้นมาเอง มาร่วมกันเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจไทยต่อไป
นโยบาย Open Thailand นี้ จะเป็นนโยบายที่นำเอาจุดแข็งที่ไทยมีมาใช้เป็นจุดสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากจุดแข็งที่ไทยมีทำเลที่ตั้งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเอเชีย มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีเป็นระดับต้น ๆ ของอาเซียน มีระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ สามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ดีผ่านทุกช่องทาง ทำให้สามารถขนส่งสินค้าที่ผลิตไปยังตลาดใหม่ที่สำคัญในเอเชียทั้ง จีน อินเดีย และอาเซียน ที่กำลังจะเป็นศูนย์กลางใหม่ของเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบ ที่สามารถเป็นศูนย์กลางการขนส่งไปยังเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ นอกจากนี้ ไทยยังเป็นประเทศที่น่าอยู่ในลำดับต้น ๆ ของอาเซียน ที่ Expats และ Talents ต่างชาติชื่นชอบ ทั้งด้านอาหาร วัฒนธรรม การยอมรับและการเป็นมิตรกับคนต่างชาติ มีค่าครองชีพที่ไม่สูงมาก เอื้อให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับผู้ที่สนใจเข้ามาทำงานที่ไทย
เป้าหมายนโยบาย Open Thailand ที่จะเปิดรับ Talents และ Technologies จากต่างประเทศ และนำมาใช้เป็นพลังในการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงประเทศ มีอยู่ 5 กลุ่มหลัก ดังนี้
- กลุ่มผู้เชี่ยวชาญหรือ Professionals
เปิดรับแรงงานทักษะสูงในระดับผู้เชี่ยวชาญ โดยมุ่งเน้นในด้านที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ในด้านเป็นที่ต้องการในปัจจุบันและอนาคต เพื่อช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืนในระยะยาว ได้แก่
- เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)
- วิศวกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง
- เทคโนโลยีทางการแพทย์
- เศรษฐกิจดิจิทัลและนวัตกรรม
- วิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม
- กลุ่มสตาร์ทอัพ
ปัจจุบัน สตาร์ทอัพไทยยังมีจำนวนไม่มากและส่วนใหญ่ยังไม่สามารถเติบโตได้ถึงระดับยูนิคอร์น จะมีก็เพียงบริษัท Flash Express, Ascend Money และ Bitkub ที่สามารถโตขึ้นเป็นระดับยูนิคอร์น ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสในการขยายและพัฒนาธุรกิจในกลุ่มนี้ได้อีกมาก
หากไทยสามารถเปิดกว้าง สามารถวางระบบที่จะดึงดูดให้สตาร์ทอัพจากต่างประเทศเลือกที่จะเข้ามาประกอบธุรกิจในเมืองไทย ใช้เมืองไทยเป็นฐานในการเจาะตลาดอาเซียน และเป็นช่องทางในการเข้าสู่ตลาดจีนและอินเดียต่อไป เราก็จะสามารถยกระดับประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางของ Startups จากต่างประเทศ ซึ่งโอกาสในการดึงดูด Startups เข้าสู่ไทยกำลังเปิดกว้างมากขึ้นจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์หรือ Geopolitics ระหว่างประเทศ ตลอดจนสงครามในพื้นที่ต่าง ๆ ของโลกที่กำลังสร้างความไม่แน่นอน ไม่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจที่กำลังส่งผลให้ Startups ต้องเลือกที่จะย้ายออกจากที่ตั้งเดิม มาสู่พื้นที่ปลอดภัยในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะ Startups จากรัสเซีย ยุโรปตะวันออก อิสราเอล ตะวันออกกลาง ตลอดจน จากกลุ่มที่เดิมทำงานในจีน ที่กำลังหาที่ตั้งใหม่ในการทำธุรกิจของตน
หนึ่งในผลพวงที่จะตามมาหากเราประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ ก็คือ โอกาสที่เด็กไทยจะสามารถเข้าไปทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับเด็กเก่ง ๆ ระดับโลกที่จะเข้ามาทำงานใน Startups เหล่านี้ เช่นในกรณีของ Agoda ซึ่งเป็นบริษัท Startups ที่ตั้งขึ้นโดยคนต่างชาติ แต่โตในประเทศไทยที่มีนักวิศวกรคอมพิวเตอร์กว่า 2,000 ชีวิตทำงานร่วมกันอยู่ในประเทศไทย โดยครึ่งหนึ่งเป็นวิศวกรที่มาจากอิสราเอล สหรัฐ แคนาดา ยุโรป จีน เป็นต้น และอีกครึ่งหนึ่งเป็นวิศวกรเด็กไทย ทำให้คนเหล่านี้ได้ทำงานกับบริษัทระดับโลก เรียนรู้การทำงานของ Startups และเมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็สามารถที่จะมาสร้าง Startups ของตนเองได้ นอกจากนี้ยังมีงานใหม่ ๆ ที่ท้าทายระดับโลก ให้คนไทยได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ เรียนรู้และพัฒนาความสามารถของตนเอง ในสาขาอื่น ๆ เช่น การตลาด การบริหารจัดการ กฎหมาย เป็นต้น ซึ่งจะเป็นทางลัดในการสร้าง World Class Talents ของไทยต่อไป
ทั้งนี้ ในปัจจุบันจากต้นทุนในการดำเนินการที่เหมาะสม และจากสภาพแวดล้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้ออำนวย จึงมี Startups หลายแห่ง ได้ใช้ไทยเป็นพื้นที่ในการทำงานอยู่แล้วตาม Co-Working Spaces ต่าง ๆ ในกรุงเทพ เชียงใหม่ ภูเก็ต โดยอาศัยช่องทางกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน ในการอาศัยในประเทศไทยอย่างไม่เป็นทางการ โจทย์สำคัญของไทย คือ การนำบุคคลเหล่านี้เข้าสู่ช่องทางที่เหมาะสม ที่จะได้ดูแลอย่างดี และเมื่อ Startups เหล่านี้พร้อม ก็มีโครงสร้างที่จะเอื้อให้สามารถจดทะเบียนในประเทศไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่จำเป็นที่จะต้องไปจดทะเบียนและ IPO ที่สิงคโปร์ตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

- กลุ่มสำนักงานใหญ่ภูมิภาค (Regional Headquaters)
ประเทศไทยตั้งอยู่ในจุดเชื่อมต่อสำคัญของภูมิภาคที่บริษัทข้ามชาติ สามารถใช้เป็นจุดศูนย์กลางในการบริหารจัดการตลาดที่มีขนาดใหญ่ถึง 800 ล้านคน (เมื่อนับรวมอาเซียนและบังคลาเทศเข้าด้วยกัน) โดยนักธุรกิจสามารถเดินทางจากไทยไปยังจุดศูนย์กลางสำคัญของตลาดเหล่านี้ ยกเว้นจาร์กาต้าและมะนิลา ได้ภายใน 1.5-2.5 ชั่วโมง ทำให้การบริหารธุรกิจเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ กรุงเทพยังเป็นเมืองที่มีโครงสร้างพื้นฐาน มีระบบรถไฟฟ้าใต้ดินที่เชื่อมโยง มีต้นทุนในการครองชีพและค่าเช่าอาคารสำนักงานที่ไม่สูงมากนัก และกำลังมีพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ๆ ที่จะสร้างเสร็จ เช่น One Bangkok หรือ Central-Dusit เป็นต้น ดังนั้นหลายบริษัทจึงได้ตัดสินใจที่จะใช้ไทยเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ภูมิภาคหรือ Regional Headquarters โดยบางบริษัทที่เคยเลือกตั้งอยู่ที่สิงคโปร์และฮ่องกง (ในสิงคโปร์และฮ่องกงมี RHQ จำนวนประมาณ 4,200 และ 1,300 บริษัท ตามลำดับ) กำลังย้ายฐานมาที่ไทยมากขึ้น จากต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในสิงคโปร์ และจากความขัดแย้งของภูมิรัฐศาสตร์โลก ที่ทำให้บริษัทข้ามชาติต่าง ๆ กำลังแสวงหาพื้นที่ปลอดภัย ที่สงบ สันติ และเป็นกลาง ที่สามารถใช้เป็นพื้นที่ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน และธุรกิจจะไม่ถูกกระทบจากนโยบายของประเทศที่ตนเลือกเป็นฐานในการดำเนินงาน
ทั้งนี้ การพัฒนาประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์ที่ตั้งของ Regional Headquarters สำหรับบริษัทข้ามชาติและบริษัทระดับสากล จะเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการลงทุนในประเทศได้ โดยหากไทยกลายเป็นศูนย์กลางของสำนักงานใหญ่ภูมิภาค จะดึงดูด Expats / Professionals ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ชำนาญการระดับสูงของโลกเข้าทำงานที่ไทย เปิดโอกาสใหม่ในการทำงานด้านเทคโนโลยีสำคัญ ๆ ตลอดจนด้านการจัดการ การตลาด การขาย และการบริการอื่น ๆ และทำให้ไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการ Regional Supply Chain ของอาเซียนและเอเชียต่อไป

- ศูนย์กลางการวิจัย (Research Centers)
การวิจัยเป็นเครื่องมือสำคัญในการค้นคว้าแสวงหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อนำมาพัฒนาขึ้นผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างรายได้ให้กับประเทศและบริษัท
ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยพึ่งพาสินค้าเกษตร การให้บริการผ่านการท่องเที่ยว ตลอดจนการรับจ้างผลิตสินค้าต่าง ๆ เป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ อย่างไรก็ตาม สินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าที่ทุกคนสามารถเข้ามาแข่งขันได้ง่าย ไม่ต้องลงทุนมากในการเริ่มผลิต ทำให้ไทยมีคู่แข่งในตลาดของสินค้าเหล่านี้เป็นจำนวนมาก จึงไม่ได้รับผลตอบแทนที่ดี ด้วยเหตุนี้ การสร้างสินค้าใหม่ที่ผสมผสานงานวิจัยเข้าไปในสินค้าเพื่อสร้างความแตกต่าง จะเป็นทางออกสำคัญที่ช่วยให้ได้ราคาและ Margin ที่สูงขึ้น นำมาซึ่งรายได้เข้าประเทศที่มากขึ้น และเพิ่มความสามารถในกรแข่งขันให้กับสินค้าไทย โดยเฉพาะในช่วงที่โลกเทคโนโลยีกำลังเปิดกว้างจาก Technology Disruption และการคิดค้นเทคโนโลยีและสินค้าใหม่ ๆ กำลังเกิดขึ้นในอัตราเร่งอย่างก้าวกระโดด
จากข้อจำกัดเรื่องนักวิจัยของไทย ทางออกสำคัญในเรื่องนี้ ก็คือ ไทยต้องเปิดกว้างให้ Research Centers ของบริษัทและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วโลกสามารถเข้ามาใช้ไทยเป็นศูนย์ในการศึกษา พัฒนา ค้นคว้าหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติที่ต้องการพัฒนาสินค้าให้สอดรับกับรสนิยมและความชอบของคนเอเชีย เพื่อเจาะตลาดต่าง ๆ ในเอเชียต่อไป รวมถึงเพื่อใช้วัตถุดิบและเทคโนโลยีในภูมิภาคเข้าประกอบกับการสร้างสรรค์เพื่อผลิตสินค้าพิเศษที่มีความเป็นเอเชีย ออกสู่ตลาดโลก ศูนย์กลางด้านการวิจัยเหล่านี้ จะช่วยดึงดูดนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญในระดับโลกจากต่างประเทศ เข้ามาทำงานที่ไทยมากขึ้น เปิดโอกาสให้กับบริษัทไทยและนักวิจัยไทย ที่สามารถเข้าไปร่วมงาน ช่วยพัฒนาองค์ความรู้ สร้างงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อต่อยอดไปสู่การพัฒนาในด้านต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยพัฒนานักวิจัยในประเทศให้มีทักษะสูงและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและมีความรู้จริงในการปฏิบัติต่อไป และเมื่อพร้อม ไทยจะมีโอกาสก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการวิจัยและเรียนรู้ในระดับภูมิภาค พลิกโฉมประเทศให้กลายเป็นผู้นำด้านการวิจัยและนวัตกรรม
- มหาวิทยาลัย (International Universities)
มหาวิทยาลัยเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ อย่างไรก็ตาม โครงสร้างของอุดมศึกษาไทยในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดอยางยิ่งในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ในระดับ World Class ด้วยเหตุนี้ ไทยจึงควรเปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัยต่างประเทศสามารถเข้ามาจัดตั้งมหาวิทยาลัยในไทยได้ เพื่อให้นักศึกษาจากภูมิภาคและไทยมีโอกาสได้เรียนรู้ทักษะที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านจากอาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านต่าง ๆ อย่างเข้มข้นและมีศักยภาพ กลายเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยมีแรงงานทักษะสูงและเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญของภาคเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมต่าง ๆ สืบต่อไป
ความจริงแล้ว ประเทศไทยมีศักยภาพอย่างยิ่งที่จะเป็นศูนย์กลางในการผลิตทรัพยากรมนุษย์ในระดับ World Class ของภูมิภาค โดยในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ไทยมี International Schools เข้ามาดำเนินการมากกว่า 200 แห่ง ช่วยดึงดูดนักเรียนจากทั้งภูมิภาคให้เดินทางเข้ามาศึกษาที่ประเทศไทย ทำให้เด็กเหล่านั้นรักและเข้าใจในวัฒนธรรมไทย และกลายเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญระหว่างไทยกับเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกัน ช่วยพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของไทย ให้ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ
ในระดับอุดมศึกษา กระทรวงอุดมศึกษาฯ (อว.) ได้เริ่มอนุมัติให้บางมหาวิทยาลัยเข้ามาทำหลักสูตรในไทย เช่น Carnegie Mellons University ที่ดำเนินการควบคู่กับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ลาดกระบัง มหาวิทยาลัย Les Roches จากสวิตเซอร์แลนด์ที่เน้นเรื่องการท่องเที่ยว มาเปิดทำการสอนในไทยร่วมกับกลุ่ม Minor Hotels ตลอดจนระบบ KOSEN ของญี่ปุ่นที่เน้นการผลิตนวัตกร ที่ได้เข้ามาเปิดสาขาที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบังและธนบุรี อย่างไรก็ตาม การดำเนินการเหล่านี้ ยังนับว่าน้อยกว่าคู่แข่งของไทย เช่น สิงคโปร์ ซึ่งมีมหาวิทยาลัยระดับโลก เช่น ISEAD, LASALLE College of Arts และ SP Jain School of Global Management หรือ มาเลเซีย ซึ่งมี Monash University และ Curtin University เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบอุดมศึกษาของประเทศ
Game Changers
เพื่อมุ่งสู่ “Open Thailand”
ข้อเสนอที่ 1: การวางกฎเกณฑ์ใหม่ในการเข้าสู่ราชอาณาจักรของบุคคลทั้ง 5 กลุ่มข้างต้น โดยในระยะแรก แก้ไขปลดล็อคของกฎเกณฑ์ กฎระเบียบต่าง ๆ ทางกฎหมาย เพื่อเอื้อให้ทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นเป้าหมายสำคัญในการดึงดูดเข้าสู่ราชอาณาจักรเหล่านี้ที่เป็น Professionals จำนวนประมาณ 200,000 คน ให้สามารถเดินทางเข้าออก พำนัก และทำงานในไทยได้อย่างสะดวก โดยเป็น Visa พิเศษ ที่ได้รับการดูแลพิเศษจากรัฐ แก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น Work Permit ระเบียบการรายงานตัว กระบวนการเดินทางเข้าออกประเทศ เกณฑ์เกี่ยวกับผู้ติดตาม (สามี ภรรยา บุตร) เกณฑ์ในการถือครองทรัพย์สิน (ตามเหมาะสม) ทั้งหมดนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกอย่างแท้จริงให้คนกลุ่มนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อำนวยความสะดวกให้กับบุคลากรของนิติบุคคลที่จะเข้ามาตั้งในประเทศไทยทั้งในส่วนของ Startups, Regional Headquarters, Research Centers และ Universities ให้ได้รับสิทธินี้
ทั้งนี้ ในระยะสั้น พิจารณาเปิดรับ Talents จากต่างประเทศที่มีทักษะสูง จากกลุ่ม Expats ของบริษัทแม่ในต่างประเทศ รวมทั้งจากกลุ่มคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศ ให้เข้ามาทำงานในไทย เพื่อช่วยเติมเต็มช่องว่างทางแรงงานที่เรายังขาดแคลนโดยเฉพาะในด้านดิจิทัล ด้านเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยให้ไทยตอบสนองกับความต้องการทางเศรษฐกิจในระยะสั้น และเป็นโอกาสในการพัฒนาทักษะและความสามารถของแรงงานไทย จากความเชี่ยวชาญของ Professionals และ Expats เหล่านี้
ข้อเสนอที่ 2: การแก้ไขปลดล็อคกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในการตั้งนิติบุคคลเพื่อดำเนินการในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการตั้งบริษัท การตั้งศูนย์วิจัย การตั้งมหาวิทยาลัย ตลอดจนแก้ไขเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องในการจ้างงาน จากกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ เช่น จากเดิมที่มีข้อกำหนดให้จ้างงานคนไทยในอัตรา 4:1 ข้อกำหนดเรื่องการสงวนอาชีพด้านบริการบางประเภทไว้ให้กับคนไทย กฎเกณฑ์เกี่ยวกับการนำเข้าส่งออกอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนข้อกำหนดเรื่องทุนจดทะเบียน และการที่มหาวิทยาลัยต้องมีพื้นที่มากกว่า 100 ไร่ ทั้งนี้ รัฐบาลควรตั้งทีมเพื่อมาอำนวยความสะดวกแบบ Fast Track / One Stop Services ให้กับเป้าหมายที่ต้องการนำเข้าสู่ประเทศไทยในระยะยาว ออกกฎหมายเพื่อสนับสนุนการนำคนจากต่างประเทศเข้ามา ตลอดจนการจัดตั้ง Regional Headquarters โดยปรับจากกฎหมาย Second Geneva ของกระทรวงการต่างประเทศ รวมไปถึง การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับ Arbitration ที่เป็นมาตรฐานสากล ตลอดจนการกำหนดอัตราภาษีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของ ภาษีรายได้นิติบุคคล ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา ภาษีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้ทัดเทียมเทียบได้กับทางเลือกอื่น ๆ เช่น ที่สิงคโปร์และฮ่องกง เป็นต้น นอกจากนี้ ควรปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อจูงใจให้ Startups ต่างประเทศที่อยู่ในไทย เมื่อพร้อมที่จะเข้าตลาด เลือกจดทะเบียนและ IPO ในไทย แทนการไปจดทะเบียนในสิงคโปร์

ข้อเสนอที่ 3: การแสดงท่าทีหรือการประกาศนโยบายของความเป็นกลางของไทย ซึ่งท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งด้าน Geopolitics ของโลกที่กำลังก่อตัวขึ้น นโยบายความเป็นกลางของไทย จะทำให้ไทยมีความโดดเด่นในฐานะเป็นพื้นที่ปลอดภัย ทำให้บริษัทหรือมหาวิทยาลัยเหล่านี้ เมื่อตัดสินใจที่จะเข้ามาตั้งที่ประเทศไทยแล้ว จะมั่นใจว่าการดำเนินงานของเขาจะมีความยั่งยืน ไม่ถูกกระทบจากนโยบายของประเทศ ที่จะต้องมีการย้ายที่ตั้งอีกรอบในอนาคต ซึ่งนโยบายความเป็นกลางนี้ จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นในการเป็นศูนย์กลางด้านต่าง ๆ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มที่จะเลือกข้าง หรืออาจจะเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งในช่วงต่อไป
ข้อเสนอที่ 4: การพัฒนาแนวนโยบายที่จะสร้าง Ecosystem ที่เหมาะสม ที่ช่วยเชื่อมโยง Startups ที่เข้ามาตั้งในไทยกับระบบต่าง ๆ ของไทย โดยเร่งเติมเต็มระบบนิเวศของ Startups ในไทย ที่ยังคงมีช่องโหว่และต้องพัฒนาเพิ่มเติมในบางด้าน เช่น การเข้าถึงทุน การเชื่อมโยงกับตลาดสากล และการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง โดยวางระบบที่เอื้อให้เกิดการพัฒนา Startups ใหม่ ๆ จากรั้วของมหาวิทยาลัยไทย โดยมี Startups จากต่างประเทศที่มีประสบการณ์และทรัพยากรสามารถช่วยกระตุ้นและสนับสนุนการพัฒนา และเอื้อให้เกิดการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้กับ Startups ไทยและธุรกิจในประเทศต่อไป
หมู่บ้านชาวต่างชาติในสมัยอยุธยา
ในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา (ปี พ.ศ. 1893-2310) ไทยได้เปิดประตูต้อนรับชาวต่างชาติจากหลายประเทศเพื่อเข้ามาตั้งรกรากและทำการค้าขาย ส่งผลให้เกิดหมู่บ้านตามเชื้อชาติต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น หมู่บ้านจีน หมู่บ้านแขก หมู่บ้านญี่ปุ่น หมู่บ้านโปรตุเกส หมู่บ้านฮอลันดา หมู่บ้านฝรั่งเศส หมู่บ้านสเปน และหมู่บ้านอังกฤษ

บทบาทของหมู่บ้านชาวต่างชาติในกรุงศรีอยุธยา:
- การส่งเสริมการค้าและเศรษฐกิจ:
- การค้าขาย: การจัดตั้งหมู่บ้านชาวต่างชาติทำให้กรุงศรีอยุธยากลายเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวต่างชาติได้นำสินค้าและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาในสยาม เช่น เครื่องจักร เครื่องมือการเกษตร และสินค้าหรูหรา ซึ่งช่วยเพิ่มความหลากหลายและคุณภาพของสินค้าในตลาด
- การลงทุนและการพัฒนา: ชาวต่างชาติไม่เพียงแค่ทำการค้าขาย แต่ยังลงทุนในการพัฒนาสาธารณูปโภคและการก่อสร้าง เช่น การสร้างท่าเรือ โรงงาน และตลาด ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจของอยุธยามีความเจริญก้าวหน้า
- การถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้:
- การพัฒนาภาคการผลิต: ชาวต่างชาติได้นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในภาคการผลิต เช่น การผลิตผ้าทอ การทำเครื่องปั้นดินเผา และการพัฒนาเทคนิคการเกษตร ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพการผลิต
- การพัฒนาเทคโนโลยีการก่อสร้าง: การนำเทคนิคการก่อสร้างใหม่ ๆ จากต่างประเทศมาช่วยในการสร้างสิ่งปลูกสร้างที่มีความทนทานและมีความสวยงาม เช่น วัดและพระราชวัง
- การพัฒนาคมนาคม: การนำเทคโนโลยีในการขนส่งมาใช้ เช่น การสร้างเส้นทางการค้าและการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้การเดินทางและการขนส่งสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น
- การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์:
- การฝึกอบรมและการศึกษา: การทำงานร่วมกับชาวต่างชาติทำให้แรงงานท้องถิ่นได้รับการฝึกอบรมและเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ซึ่งช่วยยกระดับความสามารถและความรู้ของแรงงาน
- การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม: การมีปฏิสัมพันธ์กับชาวต่างชาติช่วยให้คนไทยได้รับรู้และเข้าใจวัฒนธรรมและวิธีการที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นการพัฒนาทักษะและประสบการณ์ใหม่ ๆ
การเปิดประเทศในสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่นำมาซึ่งการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงประเทศ โดยเปิดโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาทางเทคโนโลยี การต้อนรับชาวต่างชาติช่วยยกระดับความเจริญรุ่งเรืองของกรุงศรีอยุธยาและทำให้เป็นศูนย์กลางการค้าและการพัฒนาทางวัฒนธรรมในภูมิภาค และช่วยให้ไทยสามารถที่จะยกระดับแสนยานุภาพของกองทัพ ก้าวขึ้นเป็นราชอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของภูมิภาคอินโดจีน
