จุดเปลี่ยนที่ 4 “Wellbeing Economy”

การก้าวไปสู่อุตสาหกรรมใหม่และธุรกิจใหม่ เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและมีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้น ในช่วงรอยต่อที่ไทยกำลังก้าวไปสู่อุตสาหกรรมใหม่แห่งอนาคต โดยเฉพาะ Industry 5.0 และการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในการทำธุรกิจ จึงมีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องเร่งส่งเสริมต่อยอดอุตสาหกรรมเดิม ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ประเทศมีความได้เปรียบในการแข่งขัน เป็นผู้นำของโลกในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Wellbeing Economy เช่น ภาคการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ตลอดจนอุตสาหกรรมเกษตร เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจ และช่วยยกระดับการสร้างรายได้ของประเทศในระยะปานกลางหรือ 3-5 ปีข้างหน้า

เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตที่ช้าลง ล่าสุดขยายตัวต่ำกว่า 2% ในปี 2566 มีสาเหตุเนื่องมาจากปัจจัยสำคัญหลายประการ เช่น การลงทุนในประเทศที่ลดลงในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้เทคโนโลยีการผลิตที่เราใช้อยู่เดิมเริ่มล้าสมัย ไม่สามารถแข่งขันได้เช่นเคย การที่เรามีคู่แข่งในตลาดโลกมากขึ้น ทั้งจากผู้เล่นใหม่ ๆ ในประเทศจีน อินเดีย เวียดนาม และประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มทางประชากรศาสตร์ของไทย โดยแรงกดดันทั้งภายในและภายนอกเหล่านี้ กำลังส่งผลให้ภาคการผลิตของไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว กระทบต่อการเจริญเติบโตและความสามารถในการแข่งขันในอนาคตของประเทศ

ในการแก้ไขปัญหาที่สำคัญเรื่องนี้ รัฐมีความจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าในสองด้านพร้อม ๆ กัน คือ การต่อยอดอุตสาหกรรมที่เป็นแหล่งรายได้เดิม และการผลัดใบเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่จะสร้างรายได้ใหม่ให้กับประเทศ โดยอุตสาหกรรมเดิมที่เรามีจุดแข็งอยู่แล้ว เช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว สุขภาพ และเกษตร อันเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสามารถต่อยอดได้ง่าย สามารถเป็น Quick Win ที่จะช่วยยกระดับรายได้ของประเทศในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ก่อนที่รายได้จากอุตสาหกรรมแห่งอนาคตจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจต่อไป

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระหว่างประเทศของไทยมีการเติบโตอย่างโดดเด่นในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของโลก แม้ว่าจะถูกกระทบจากการระบาดของโควิด-19 แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ก็ได้เริ่มฟื้นตัวกลับคืนมา ด้วยเหตุนี้ การขยายขีดความสามารถของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จึงเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐต้องเริ่มดำเนินการ โดยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทย ซึ่งคาดว่าในปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 40 ล้านคน และอาจเพิ่มสูงขึ้นจนไปอยู่ที่ระดับ 100 ล้านคนต่อปีภายในปี 2578 ทำให้สนามบินของเราจะต้องรองรับจำนวนผู้โดยสารทั้งขาไปและขากลับอยู่ที่ 163 ล้านคน ขณะที่ขีดความสามารถในการรองรับสูงสุดอยู่ที่ 151 ล้านคน

 

การใช้สนามบินเกินขีดจำกัดอาจส่งผลลบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวในระยะยาว โดยจากการประมาณการคาดว่า จำนวนผู้โดยสารจะสูงถึง 435 ล้านคนต่อปี ในปี 2583 (รูปที่ 16)

จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ไทยจะต้องเพิ่มศักยภาพในการรองผู้โดยสารอีกเกือบ 300 ล้านคน ด้วยเม็ดเงินลงทุนจากภาครัฐและเอกชนคาดว่าจะอยู่ที่ 8.3 แสนล้านบาท และจะสามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีก 269 ล้านคนเมื่อโครงการแล้วเสร็จ ทั้งนี้ การลงทุนส่วนใหญ่จะมาจากบริษัทท่าอากาศยานไทย (ทอท.) รวม 5.35 แสนล้านบาท โดยเน้นการลงทุนเกี่ยวกับ 1) ขยายท่าอาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต และเชียงใหม่ และ 2) ก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่เพิ่มเติมในจังหวัดภูเก็ต และเชียงใหม่ โดยเปิดให้มีการแข่งขันเพื่อดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยให้การระดมและทำให้ทรัพยากรของรัฐบาลถูกจัดสรรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น (รูปที่ 17)

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการขยายและการก่อสร้างท่าอากาศยานแล้ว การเพิ่มศักยภาพการจัดการท่าอากาศยานพาณิชย์ก็เป็นสิ่งสำคัญ เช่น ท่าอากาศยานต้องพัฒนาคุณภาพการบริการที่มุ่งเน้น ความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัย (Safety and Security) ความสามารถในการเข้าถึง (Accessibility) ความสามารถในการเชื่อมต่อ (Connectivity) คุณภาพการให้บริการ (Service Quality) และประสิทธิภาพการดําเนินงาน (Operational Efficiency)

Game Changers
เพื่อต่อยอดอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

ข้อเสนอที่ 1: โอนการจัดการสนามบินจากกรมท่าอากาศยานไปยัง ทอท. เพื่อช่วยปรับปรุงสนามบินที่มีอยู่ทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ และเอื้อต่อการจัดการเส้นทางการบินเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพซึ่งเป็นการส่งเสริมและยกระดับการท่องเที่ยวในจังหวัดรอง

ข้อเสนอที่ 2: ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อเครื่องบินใหม่ เพื่อส่งเสริมการเพิ่มเที่ยวบิน รวมทั้งยกเลิกกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคสำหรับการเข้าตลาดของสายการบินใหม่ รวมทั้งการอุดหนุนค่าธรรมเนียมการลงจอด

ข้อเสนอที่ 3: เร่งดำเนินการสร้างสนามบินอู่ตะเภา และแก้ไขความล่าช้าจากการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน แบบไร้รอยต่อ (ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา)

ข้อเสนอที่ 4: การก่อสร้างสนามบินใหม่ เร่งการก่อสร้างสนามบินใหม่ในภูเก็ตและเชียงใหม่ โดยเปิดให้มีการแข่งขันเพื่อดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชน

ข้อเสนอที่ 5: การเพิ่มอุปทานโรงแรมในกลุ่มตลาดบน และก้าวข้ามการท่องเที่ยวพื้นฐาน (รูปที่ 18) อุปทานที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป คือ กลุ่มตลาดบน โดยผู้เล่นหลักในตลาดมีแผนจะลงทุนต่อเนื่อง เช่น บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ที่มีแผนลงทุนมากกว่า 1.26 แสนล้านบาทในโครงการต่าง ๆ สำหรับในช่วง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งโดยรวมแล้ว คาดว่าการลงทุนในภาคโรงแรมรวมกันน่าจะสูงถึง 3 แสนล้านบาทจนถึงปี 2573 หลังจากการขยายสนามบินในระยะแรก

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพอย่างมากด้วยเหตุผล 3 ประการ ประการแรก ผู้คนเริ่มให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น หลังการเกิดโรคระบาดส่งผลให้มีการใช้จ่ายในหมวดหมู่นี้มากขึ้น Global Wellness Institute (GWI) คาดว่าการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์จะเติบโตที่ CAGR 21% ตั้งแต่ปี 2564 ถึง 2569 ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่เร็วที่สุดเมื่อเทียบกับภาคส่วนด้านสุขภาพอื่น ๆ ประการที่สอง ค่าใช้จ่ายต่อหัวสำหรับการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ และประการสุดท้าย ไทยถือเป็นผู้เล่นหลักสำหรับแหล่งท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ จากความได้เปรียบเรื่องระบบการดูแลสุขภาพ อาหารออร์แกนิก และแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 89% เป็นนักท่องเที่ยวสายสุขภาพ เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 16%

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทต่าง ๆ ได้ลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ โดยโครงการเหล่านี้มักครอบคลุมการรักษาทางการแพทย์ที่หลากหลาย เช่น การตรวจสุขภาพแบบองค์รวมแบบเฉพาะบุคคล ไปจนถึงกิจกรรมเสริมความงามและการผ่อนคลาย ตัวอย่างของการลงทุนดังกล่าว เช่น โครงการ Mövenpick BDMS Wellness Resort ที่เน้นการดำเนินงานโรงแรมด้วยบริการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และ โครงการ BDMS Silver Wellness ศูนย์สุขภาพครบวงจรสำหรับสมาชิก BDMS Silver Age และผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ รวมถึงโครงการ VitalLife Scientific Wellness Center และ VitalLife Phuket ของบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) โดยตั้งเป้าที่จะรองรับความต้องการด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในจุดหมายปลายทางที่เป็นที่รู้จักของประเทศไทย

ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมสุขภาพในไทย เราสามารถใช้จุดแข็งด้านบริการดูแลสุขภาพสำหรับการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ เพื่อการเติบโตที่มั่นคงสำหรับเศรษฐกิจในอีกหลายปีข้างหน้า จุดแข็งสำคัญของภาคส่วนนี้มาจากสองปัจจัย ได้แก่ ราคาที่เอื้อมถึง (Affordability) เนื่องจากไทยมีต้นทุนการดูแลสุขภาพที่ต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศตะวันตก และคุณภาพ (Quality) โดยไทยมีโรงพยาบาล 61 แห่งที่ได้รับการรับรองจาก Joint Commission International (JCI) ซึ่งแซงหน้ามาเลเซีย และสิงคโปร์ รวมถึงอาจสูงกว่าประเทศใหญ่ ๆ ในเอเชียบางประเทศด้วยซ้ำ (รูปที่ 19 และ 20)

ทั้งนี้ ผู้ป่วยต่างชาติมักมีอาการป่วยที่ซับซ้อนกว่า ต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญหลายคน ส่งผลให้ผู้ป่วยต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานขึ้น ทำให้เรียกสามารถเก็บเงินต่อคนไข้ได้มากขึ้น ส่งผลให้โรงพยาบาลก็มีอัตรากำไรที่สูงขึ้นด้วย นอกจากนี้ ไทยยังดึงดูดผู้ป่วยต่างชาติภายใต้การอุดหนุนของรัฐบาลต่างประเทศอีกด้วย โดยเฉพาะประเทศในตะวันออกกลางด้วยเงินสนับสนุนจากรัฐบาลที่ไม่จำกัด โรงพยาบาลเอกชนจึงพยายามที่จะรองรับกลุ่มดังกล่าวโดยการเสริมสร้างความร่วมมือกับสถานทูต รวมถึงเสนอบริการเฉพาะทางแก่ผู้ป่วยชาวต่างชาติ เช่น นักแปล อาหารท้องถิ่น การขนส่ง และห้องผู้ป่วยพิเศษ ในขณะเดียวกัน โรงพยาบาลขนาดกลางและเล็กของไทยกำลังเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีแนวโน้มนี้ เช่น บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) กำลังมุ่งเป้าไปที่ผู้ป่วยต่างชาติโดยเฉพาะ ซึ่งรวมถึงการขยายไปยังภูมิภาค CLMV ที่มีการแข่งขันน้อยกว่าหรือเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต

“อยู่ดี กินดี มีความสุข ที่ประเทศไทย: โอกาสของเราที่จะก้าวขึ้นเป็น Global Hub for Wellbeing”

Game Changers
เพื่อต่อยอดอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

ข้อเสนอที่ 1: เพิ่มการลงทุนในกลุ่มโรงแรมที่สามารถปรับราคาห้องพักได้เร็วกว่าโรงแรมทั่วไป เช่น โรงแรมเพื่อสุขภาพ โรงแรมหรู หรือศูนย์รวมความบันเทิง เพื่อรับรองนักท่องเที่ยวตลาดบน

ข้อเสนอที่ 2: ส่งเสริมและผลักดันโครงการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก

ข้อเสนอที่ 3: ปรับปรุงการขนส่งสาธารณะโดยเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อการอำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อที่ราบรื่นระหว่างจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวและสถานพักผ่อนเพื่อสุขภาพ

ข้อเสนอที่ 4: ต่อยอดความสำเร็จจากแคมเปญ “Amazing Thailand” รัฐบาลสามารถพัฒนาแคมเปญใหม่ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ซึ่งอาจใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่มีอยู่ของ “Amazing Thailand” และ “Even More Amazing” โดยเน้นถึงความงามตามธรรมชาติและความมั่งคั่งทางวัฒนธรรมของประเทศ พร้อมทั้งผสานรวมเข้ากับการดูแลสุขภาพที่ไม่เหมือนใคร

อุตสาหกรรมการเกษตร

ขณะเดียวกัน รัฐควรเร่งเพิ่มประสิทธิภาพภาคเกษตร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Wellbeing Economy ในส่วนของอาหารสุขภาพ อาหารออร์แกนิค ตลอดจน การช่วยฟื้นฟูธรรมชาติและการเป็นแหล่งทางเลือกใหม่ในการท่องเที่ยว ซึ่งภาคการเกษตรควรได้รับการพัฒนาที่สอดรับไปกับการเติบโตของภาคอื่น ๆ เช่นกัน ทั้งนี้ ปัญหาภาคการเกษตรของไทย คือประสิทธิภาพต่ำ แต่บริโภคทรัพยากรแรงงานสูงมาก มีแรงงานในภาคเกษตรถึง 12 ล้านคน คิดเป็นหนึ่งในสามของแรงงานทั้งหมด แต่สามารถสร้าง Real GDP ต่อหัวได้เพียง 5.8 หมื่นบาท น้อยกว่าภาคอุตสาหกรรมถึง 6 เท่า (รูปที่ 21) ด้วยเหตุนี้ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภาคเกษตรและการย้ายทรัพยากรในภาคการเกษตรที่ไม่เกิดประสิทธิภาพไปสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญ

Game Changers
เพื่อต่อยอดอุตสาหกรรมการเกษตร

ข้อเสนอที่ 1: เพิ่มการแข่งขันในภาคเกษตร โดยนำเข้าเทคโนโลยีที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเข้ามาใช้ อาทิ เปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนที่เก่งในการผลิตภาคเกษตรเข้ามาทำธุรกิจในประเทศ และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับเกษตรกรท้องถิ่น รวมถึงพัฒนาการเครื่องมือทางการเงินในการผ่อนถ่ายความเสี่ยงออกจากเกษตรกรไปสู่นักลงทุน เช่น พัฒนา Weather Derivatives โดย
รัฐอาจจะช่วยอุดหนุนค่า Premium

ข้อเสนอที่ 2: โอนทรัพยากร (แรงงานและที่ดิน) ที่แข่งขันไม่ได้ ไปสู่ภาคอื่น ๆ โดยภาครัฐควรช่วยสนับสนุนเพื่อให้กระบวนการผ่องถ่ายมีแรงต้านน้อยลง อาทิ การอุดหนุนระหว่างที่แรงงาน Reskill หรือการแก้กฎหมายเพื่อเปิดโอกาสให้ทรัพยากรเปลี่ยนอุตสาหกรรมได้ง่ายขึ้น

ข้อเสนอที่ 3: ลดนโยบายเงินโอนให้ภาคเกษตรโดยตรง เพื่อลดแรงจูงใจ และช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนถ่ายไปสู่อุตสาหกรรมอื่นที่แข่งขันได้

การช่วยกระตุ้น GDP ของไทยให้สามารถขยายตัวกลับไปสู่ระดับ 5% อย่างยั่งยืนเป็นเป้าหมายที่สำคัญของรัฐบาล โดยช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเผชิญกับการขยายตัวที่ต่ำลงทุกครั้งหลังผ่านวิกฤติทางเศรษฐกิจ จากที่เติบโตได้ปีละกว่า 7% โดยเฉลี่ยในช่วงต่อจากนั้น และพอผ่านวิกฤติโควิด-19 เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เพียงราว 2% เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ โจทย์ใหญ่ของสังคมไทยในทุกวันนี้ จึงเป็นเรื่องของการพัฒนาและยกระดับเศรษฐกิจไทยให้กลับไปเติบโตได้อีกครั้ง

ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่า เศรษฐกิจไทยมีรากฐานที่สำคัญของการเติบโตจากภาคบริการเป็นหลัก ขณะที่ความสำคัญของภาคการค้าอย่างการส่งออกสินค้าและการผลิต เริ่มมีความสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจต่ำลง ดังนั้น การต่อยอดธุรกิจในภาคบริการ ที่เรามีความสามารถในการแข่งขันสูงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยในอุตสาหกรรมทั้งสามนี้ การต่อยอดไปสู่ Wellbeing Economy และ Medical Tourism จะช่วยยกระดับ GDP ไทยให้เติบโตได้สูงขึ้น โดยปัจจุบันมูลค่าตลาดของ Wellbeing Economy คิดเป็นราว 5.7% ของ GDP และสถาบัน Global Wellness Institute ประเมินว่ามีแนวโน้มการเติบโตกว่าปีละ 10% CAGR จึงคาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ราว 0.5% ขณะที่มูลค่าตลาดของ Medical Tourism อยู่ที่ราว 15,378 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นกว่า 550,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มการเติบโตปีละ 15.7% CAGR ในช่วงทศวรรษข้างหน้า จากการประเมินของ Future Market Insights ทำให้เราประเมินว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ราว 0.5%

ในภาคการเกษตร การลงทุนในเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัย คาดว่าจะช่วยยกระดับเศรษฐกิจไทยได้กว่า 0.8% (กรณีศึกษาในต่างประเทศ การทำเกษตรแม่นยำช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้กว่า 15% ขณะที่ GDP ภาคเกษตรของไทยในปัจจุบันคิดเป็นราว 6-8%)

นอกจากนี้ อีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญที่สุดของการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และต่อยอดอุตสาหกรรมเดิมที่เป็นจุดแข็งของเรา ก็คือ การมีกฎหมายจำนวนมากเกินจำเป็น ซึ่งเกิดจากการออกกฎหมายใหม่สะสมมาเป็นเวลานานโดยขาดการทบทวนเพื่อยกเลิกสิ่งที่ซ้ำซ้อนและไม่จำเป็น โดยปัจจุบันประเทศไทยมีพระราชบัญญัติกว่า 1,400 ฉบับ และกฎหมายลำดับรองลงมาอีกกว่า 100,000 ฉบับ อีกทั้งกฎเกณฑ์รวมถึงแนวทางปฏิบัติของรัฐที่ไม่ยืดหยุ่น ก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาครัฐในการบังคับใช้ และภาระต่อภาคประชาชนในการปฏิบัติตาม ซึ่งทาง ธปท. ประเมินว่าการปฏิรูปกฎหมาย (Regulatory Guillotine) ที่เราจะได้กล่าวถึงในบทที่ 4 จุดเปลี่ยนที่ 10 จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของภาคประชาชน และภาคธุรกิจรวมกันไม่น้อยกว่า 75,000 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นการยกระดับเศรษฐกิจได้กว่า 0.4%

โดยสรุป การยกอุตสาหกรรมเดิมของไทยทั้งสามด้านนี้ รวมทั้งการปฎิรูปอื่น ๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะด้านกฎหมาย มีแนวโน้มที่จะช่วยผลักดันให้ศักยภาพการเจริญเติบโตของไทย (Potential GDP Growth) ของไทยเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 4.5% (รูปที่ 22) ซึ่งจะยกระดับรายได้ของเศรษฐกิจไทยในระยะปานกลาง (รูปที่ 23) ก่อนที่เราจะมีรายได้จากอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเข้ามาเพิ่มเติมต่อไป