จุดเปลี่ยนที่ 3 “สานพลังเอกชนลดเหลื่อมล้ำ”

ความท้าทายหลักในการซ่อมฐานราก เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำของประเทศ อยู่ที่การเร่งช่วยชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ของไทย ให้ยืนอยู่บนขาของตนเอง สร้างรายได้ที่เลี้ยงตนเองได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยมีความสามารถในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของตลาด มีความเข้าใจในการบริหารการผลิต การเงิน การตลาด และธุรกิจอย่างแท้จริง สามารถเชื่อมโยงชุมชนและผลิตภัณฑ์ของตนเข้ากับระบบตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งในเรื่องนี้ ภาคเอกชนที่เชี่ยวชาญด้านการผลิต การตลาดและธุรกิจ จะเป็นหัวใจและกุญแจสำคัญที่มาช่วยภาครัฐและข้าราชการ ตอบโจทย์และก้าวข้ามข้อจำกัดที่เคยมีในอดีต นำศักยภาพและช่องทางของภาคเอกชนมาช่วยชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยรัฐต้องเร่งสร้าง Ecosystem เพื่อจูงใจภาคเอกชนให้มาร่วมกันสานพลัง ทำงานช่วยเหลือชุมชนที่เกี่ยวข้อง ช่วยแก้ปัญหาสังคมร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างโอกาส ความเสมอภาค และช่วยลดความเหลื่อมล้ำของประเทศต่อไป

ในการต่อสู้กับความเหลื่อมล้ำและลดความยากจนของประชาชน รัฐบาลมีข้อจำกัดในเชิงงบประมาณที่จะใช้ในการช่วยเหลือ ดูแล จัดสวัสดิการให้กับพี่น้องประชาชน ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา การดำเนินการเพื่อยกระดับของความเป็นอยู่ของประชาชน ในเมืองและในพื้นที่ชนบท สามารถทำได้เพียงบางส่วนเท่านั้น โดยรัฐจัดเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงอายุได้เพียง 600-1,000 บาท/เดือน ผู้พิการ 800 บาท/เดือน เงินช่วยเหลือสำหรับผู้มีรายได้น้อย 300 บาท/เดือน ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (สำหรับการซื้อสินค้า) ขณะเดียวกัน ในการเตรียมการเพื่อรองรับการเกษียณอายุและยังชีพของผู้สูงวัย ปัจจุบัน สามารถครอบคลุมถึงแรงงานในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 และ 39 รวมกันประมาณ 13.5 ล้านคน และข้าราชการในระบบราชการผ่านกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการอีก 1.2 ล้านคน ทำให้ยังคนอีกจำนวนมากที่รัฐไม่สามารถดูแล โดยเฉพาะคนในภาคเกษตรและอาศัยอยู่ในชนบทประมาณ 20 ล้านคน ที่ไม่อยู่ในระบบดังกล่าว

การนำศักยภาพที่แฝงในชุมชนมาใช้

จากข้อจำกัดในเชิงรายได้ ภาษี และงบประมาณของรัฐ แนวคิดใหม่และทางออกที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ในการที่จะดูแลชีวิตของประชาชนในชุมชนต่างๆ ก็คือ การวาง Ecosystem ที่จะช่วยปลดปล่อยศักยภาพของชุมชน พัฒนาผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง นำไปสู่การสร้างชุมชนพึ่งพาตนเอง สนับสนุนให้ชุมชนลุกขึ้นมารวมพลัง ตั้งแต่ด้านการออมร่วมกัน การหารายได้ผ่านวิสาหกิจชุมชน การจัดสวัสดิการชุมชน การดูแลป่าและทรัพยากรแวดล้อมด้วยกัน ปลดปล่อยศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในแต่ละพื้นที่ เพื่อทำให้สามารถดูแลตนเองได้ โดยไม่ต้องรอพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากส่วนกลางและรัฐบาลอย่างที่เคยเป็นมา

ในประเด็นนี้ กล่าวได้ว่า ประเทศไทยนับเป็นหนึ่งในผู้นำของโลก ในการริเริ่มการทำงานกับผู้นำชุมชนและองค์กรชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วไทย โดยปัจจุบัน จากการทำงานรวมกลุ่มภายในชุมชน ได้สร้างกลุ่มออมทรัพย์ชุมชนมากกว่า 30,000 แห่ง กลุ่มสวัสดิการชุมชนประมาณ 10,000 แห่ง มีโครงการบ้านมั่นคงมากกว่าแสนหลัง ที่ช่วยสร้างชีวิต สร้างชุมชนให้กับประชาชนในพื้นที่ต่างๆ นอกจากนี้ ในหลายพื้นที่ สถาบันการเงินเล็กๆ เหล่านี้ ได้ช่วยให้ความจำเป็นของชาวบ้านในการพึ่งพาเจ้าหนี้นอกระบบลดลง ทำให้ที่ดินหลุดมือน้อยลง ขณะเดียวกัน ก็เปิดโอกาสในการออมและการกู้ยืมให้กับพี่น้องในชุมชน ส่งผลให้เกิด “ชุมชนเข้มแข็ง” “ชุมชนพึ่งพาตนเอง” ในพื้นที่ต่างๆ ทำให้ประชาชนในชุมชน มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีรายได้พอกับรายจ่าย สามารถเก็บออม มีชีวิตที่ดีมีศักดิ์ศรี โดยไม่รอความช่วยเหลือจากรัฐ

“ภาคเอกชน คือ กุญแจและสะพานสำคัญ ที่จะช่วยชุมชนเชื่อมโยงเข้ากับระบบตลาด เพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชนอย่างยั่งยืน”

การเชื่อมโยงชุมชนกับระบบตลาด

สำหรับก้าวสำคัญก้าวต่อไปในการพัฒนาไปสู่ “ชุมชนเข้มแข็ง” ก็คือ การที่จะทำให้ชุมชนสามารถเชื่อมโยงกับระบบตลาด และสามารถสร้างธุรกิจที่เจริญเติบโตเป็นกิจการขนาดใหญ่ขึ้น สามารถสร้างรายได้ที่ยั่งยืน เพียงพอต่อการใช้ชีวิตของคนในชุมชน โดยในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามที่จะส่งเสริมให้ชุมชนจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน ผลิตสินค้าท้องถิ่น ริเริ่มโครงการตลาดชุมชนและท่องเที่ยวชุมชน เพื่อเพิ่มรายได้ อย่างไรก็ตามพบว่า รัฐมีข้อจำกัดอย่างยิ่งในการช่วยชุมชนเชื่อมโยงกับระบบตลาด ในการสร้างธุรกิจและรายได้ที่ยั่งยืน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ข้าราชการที่รับผิดชอบในการช่วยเหลือชุมชน ขาดความเข้าใจที่แท้จริงในการทำธุรกิจ ทั้งด้านการเกษตร การผลิตสินค้า ด้วยเหตุนี้ ข้อแนะนำที่ให้กับชาวบ้านในช่วงที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเป็นการแนะนำเรื่องการผลิต แต่ครั้นเมื่อผลิตเสร็จแล้ว กลับประสบปัญหาในการขายสินค้าในตลาด ทำให้สินค้าบางส่วนของชุมชน กลายเป็นสินค้าค้างสต็อก ท้ายสุดกลายเป็นหนี้ที่จะต้องมาชำระ ทำให้การสร้างรายได้ของชุมชนเป็นไปได้จำกัด ไม่ยั่งยืน ไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นธุรกิจที่เข้มแข็งในระยะยาว การพัฒนาชุมชนจึงไม่สามารถก้าวไปสู่ก้าวถัดไปได้

เพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดในการทำงานในเรื่องนี้ ภาครัฐจำเป็นต้องวางกรอบเพื่อสร้างแรงจูงใจ “ภาคเอกชน” ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับระบบตลาด มีความเข้าใจการทำธุรกิจ สามารถสร้างรายได้อย่างยั่งยืน ทั้งยังมีช่องทางการค้า มีพื้นที่ขาย ให้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือชุมชน ในการเชื่อมโยงกับระบบตลาด ช่วยยกระดับรายได้ และสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนให้กับชุมชน ซึ่งจะสอดรับกับแนวคิดของล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 เรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่ ขั้นที่ 3 ที่ทรงมีพระราชดำริเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2538 ว่า “เมื่อดำเนินการขั้นตอนที่สองแล้ว เกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนาก้าวหน้าไปสู่ขั้นที่สามต่อไป คือ ร่วมมือกับแหล่งเงินและแหล่งพลังงาน ตั้งและบริการโรงสี ตั้งและบริการร้านสหกรณ์ ช่วยกันลงทุน ช่วยกันพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชนบท ซึ่งไม่ได้ทำอาชีพเกษตรอย่างเดียว” ทั้งนี้ “ฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายธนาคาร หรือบริษัท เอกชนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน กล่าวคือ เกษตรกรขายข้าวได้ราคาสูง (ไม่ถูกกดราคา) ธนาคารหรือบริษัทเอกชนสามารถซื้อข้าวบริโภคในราคาต่ำ (ซื้อข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกรและมาสีเอง) เกษตรกรซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคในราคาต่ำ เนื่องจากรวมกันซื้อเป็นจำนวนมาก (เป็นร้านสหกรณ์ราคาขายส่ง) ธนาคาร หรือบริษัทเอกชนจะสามารถกระจายบุคลากร เพื่อไปดำเนินการในกิจกรรมต่าง ๆ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น”

บทบาทของภาคเอกชน กับการช่วยชุมชน

จากแนวคิดเรื่อง “ความยั่งยืนของธุรกิจ” ที่มีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา บริษัทเอกชนจำนวนมากจึงให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมองว่า การที่ธุรกิจจะสามารถดำเนินกิจการไปได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ชุมชนรอบข้างและผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทต้องมีความเข้มแข็งด้วย ดังนั้น บริษัทเหล่านี้จึงได้ดำเนินการโครงการกับชุมชน ผ่านโครงการ CSR (Corporate Social Responsibility) และโครงการ CSV (Creating Shared Value) ในมิติต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจบริษัทของตน และนำโครงการเหล่านี้มาสร้างการรับรู้แก่สาธารณะ และใช้เป็นจุดขายที่สร้างความแตกต่างในการทำธุรกิจของตน ซึ่งหลายๆ โครงการเหล่านี้ของหลายๆ บริษัท ได้ถูกรายงานไว้ใน “รายงานแห่งความยั่งยืน” ที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) กำหนดให้มีการจัดทำขึ้นทุกปี เพื่อให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นทราบว่า บริษัทได้มีส่วนช่วยสร้างความยั่งยืนของระบบอย่างไร

ล่าสุด กระแส ESG (Environment, Social and Governance) และความสำคัญของ ESG Rating ต่อการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะต่อกลุ่มบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่ของประเทศ โดยนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเริ่มกำหนดกันว่า กองทุนจะเลือกลงทุนได้เฉพาะในบริษัทที่ผ่านเกณฑ์ ESG Rating เท่านั้น ส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนมีความสนใจมากขึ้นกับการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และความโปร่งใสในการทำธุรกิจของตน และพยายามดำเนินโครงการต่างๆ ด้วยตนเอง หรือร่วมกับชุมชนที่จะส่งเสริมความยั่งยืน เพื่อช่วยเพิ่ม Rating ของบริษัท ทำให้เกิดโครงการดีๆ ทั้งในส่วนของการศึกษา การปลูกและฟื้นฟูป่า การช่วยชุมชนสร้างสรรค์และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ การเก็บขยะและดูแลสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการอนุรักษ์ไว้ซึ่งประเพณีและวัฒนธรรมของชุมชน เป็นต้น

ในส่วนนี้สอดรับกับประเทศจีน ที่ล่าสุดมีนโยบาย “Common Prosperity” หรือ “เจริญรุ่งเรืองร่วมกัน” เพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดของระบบทุนนิยม ที่ความเจริญจะกระจุกตัวอยู่ที่บริษัทชั้นนำ ทำให้ความมั่งคั่ง ความเจริญรวมศูนย์ โดยรัฐบาลได้ขอให้บริษัทและกลุ่มคนรวยช่วยกันทำหน้าที่ในการช่วยเหลือผู้ที่ยากจน โดยหนึ่งในบริษัทที่ได้ดำเนินการเรื่องนี้อยู่แล้วคือ Alibaba ที่จากการศึกษาของ AliResearch พบว่าในปี 2563 ได้จัดตั้ง Taobao Village มากกว่า 5,400 แห่งและ Taobao Town มากกว่า 1,700 แห่ง เพื่อช่วยให้ชาวบ้านในชนบทสามารถค้าขายสินค้าผ่านระบบ online ได้มากกว่า 5 ล้านล้านบาท โดยมีร้านค้าออนไลน์เพิ่มขึ้น 3 ล้านร้านค้าช่วยสร้างงานในชนบทได้มากกว่า 8 ล้านตำแหน่ง

สำหรับภาคเอกชนไทย เช่น บริษัท ปตท. น้ำมันและค้าปลีก ก็ได้ทำงานใกล้ชิดกับชุมชนในโครงการ “ไทยเด็ด” โดยช่วยยกระดับผลิตภัณฑ์ พัฒนาบรรจุภัณฑ์ และช่วยขายเหล่านี้ผ่านร้านกาแฟ Amazon และพื้นที่ในปั๊ม ปตท. ทำให้บางสินค้าที่ชาวบ้านดำเนินการเองสามารถขายได้เพียง 4-5 ล้านบาทต่อปี สามารถเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 100 ล้านบาทต่อปี บางสินค้าที่ขายดีมากขึ้น เช่น ขนมปั้นขลิบทอดน้องหนึ่งจากจังหวัดพัทลุง จนต้องขยายกิจการ นำประชาชนในหมู่บ้านมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิต สามารถสร้างงาน สร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดอย่างยั่งยืนให้กับชุมชน โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพางบประมาณภาครัฐ

บทบาทของวิสาหกิจเพื่อสังคม กับการช่วยชุมชน

ในหลายประเทศ วิสาหกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise ได้ก้าวขึ้นเป็นแนวทางใหม่ในการแก้ไขปัญหาทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยในอังกฤษมีจำนวนมากกว่า 130,000 แห่ง จ้างงานคนมากกว่า 2 ล้านคน และสร้างรายได้มากกว่า 3.5 ล้านล้านบาทต่อปี ทำให้ได้รับการเรียกชื่อว่าเป็น The Third Sector ที่มีความสำคัญในระบบเพิ่มเติมจากภาครัฐและภาคเอกชน โดยวิสาหกิจเพื่อสังคมเหล่านี้ สามารถเป็นแขนขาให้กับระบบราชการ นำระบบตลาดมาใช้บริการสังคม โดยเน้น Social Impacts คู่กับ Financial Sustainability มากกว่าการสร้างผลกำไรให้กับตนเอง

สาเหตุที่วิสาหกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise มีบทบาทสำคัญก็เพราะว่า หนึ่งในปัญหาสำคัญของการดูแลประชาชน ก็คือ โครงการต่างๆ ที่รัฐบาลดำเนินการเกือบทั้งหมดเป็นโครงการแบบ Budget Based ที่รัฐตัองจัดสรรงบประมาณให้เป็นประจำทุกปี ส่งผลให้ทุกๆ ปี รัฐมีภาระจากโครงการต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้น และจากจำนวนข้าราชการที่มีอยู่อย่างจำกัด กระทบต่อประสิทธิภาพของการขับเคลื่อนโครงการเหล่านี้ในระยะยาว ดังนั้น ในโลกยุคใหม่พบว่าบางประเทศ เช่น อังกฤษ สหรัฐฯ มีโครงสร้างใหม่ที่เรียกว่าวิสาหกิจเพื่อสังคมหรือ Social Enterprise เข้ามาช่วยรัฐดูแลแก้ไขปัญหาสังคม โดยรัฐสนับสนุนส่งเสริมในลักษณะ Budget Initiated โดยให้เป็นเงินทุนตั้งต้น หรือเป็นงบช่วยอุดหนุนในระยะแรก ส่งเสริมให้คนที่มีใจอยากช่วยเหลือสังคม เด็กรุ่นใหม่ที่มีไฟ ตั้งธุรกิจในการให้บริการกับสังคมของตนได้ โดยอาศัยระบบตลาดเข้ามาประกอบ ทำให้เกิดความยั่งยืนในการดำเนินการ ซึ่งจะช่วยลดจำนวนประชาชนที่ต้องพึ่งพารัฐ และช่วยลดภาระของภาครัฐในการดูแลสังคมอย่างมีนัยยะสำคัญ

ตัวอย่างที่สำเร็จของวิสาหกิจเพื่อสังคม ได้แก่ Koto Association ในญี่ปุ่น ElderHelp และ The Age of No Retirement ในอังกฤษ ReServe และ Encore.Org ในสหรัฐอเมริกา Silver Line ในเยอรมัน ตลอดจน Magdas Hotel ในออสเตรีย ที่ช่วยเหลือให้ผู้สูงอายุสามารถทำงานมีรายได้ สามารถเลี้ยงตนเองได้ นอกจากนี้ ยังมีแพลตฟอร์มเช่น BEAM ที่เป็นการระดมเงินในรูปแบบ Crowdfunding เพื่อช่วยยกระดับทักษะของคนไร้บ้านให้สามารถที่จะหางานทำและเลี้ยงตนเอง

ขนมปั้นขลิบน้องหนึ่ง จังหวัดพัทลุง

ขนมปั้นขลิบน้องหนึ่งเป็นขนมปั้นขลิบทอดที่เริ่มต้นจากธุรกิจขนาดเล็กในจังหวัดพัทลุง ด้วยยอดขายเริ่มต้นเพียง 80,000 บาทต่อเดือน อย่างไรก็ตาม ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผ่านการบอกต่อและการสนับสนุนจากภาคเอกชน ขนมปั้นขลิบน้องหนึ่งสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างมีนัยสำคัญ

จุดเปลี่ยนที่สำคัญเกิดขึ้นเมื่อขนมปั้นขลิบน้องหนึ่งได้ร่วมงานกับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก หรือ OR ภายใต้โครงการ “ไทยเด็ด” โครงการนี้ได้คัดเลือกขนมปั้นขลิบน้องหนึ่งให้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายที่ร้านกาแฟ AMAZON ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้ขนมปั้นขลิบน้องหนึ่งได้เข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้น แต่ยังได้รับการสนับสนุนในด้านต่างๆ เช่น:

  1. การพัฒนาคุณภาพสินค้า: คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์
  2. การจัดหาวัตถุดิบ: การช่วยเหลือในการหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพ
  3. การปรับปรุงบรรจุภัณฑ์: การปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยและดึงดูดลูกค้า

ผลลัพธ์ของความร่วมมือ

จากการสนับสนุนนี้ ยอดขายของขนมปั้นขลิบน้องหนึ่งเพิ่มขึ้นจาก 1.2 ล้านบาทต่อเดือนเป็น 20 ล้านบาทต่อเดือน การเติบโตนี้ไม่เพียงแค่เพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจ แต่ยังมีผลกระทบที่ดีต่อชุมชนท้องถิ่นด้วย:

  1. การสร้างงาน: โครงการนี้สร้างงานให้กับสมาชิกในชุมชนท้องถิ่น
  2. การสนับสนุนเกษตรกร: เกษตรกรที่ผลิตข้าวสังข์หยด ปลา และเห็ดนางฟ้าที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญได้รับการสนับสนุน
  3. การพัฒนาชุมชน: ผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จได้ช่วยเสริมสร้างรายได้และความเจริญรุ่งเรืองให้กับชุมชน

การร่วมมือระหว่างขนมปั้นขลิบน้องหนึ่งกับบริษัทปตท.น้ำมันและการค้าปลีก หรือ OR ภายใต้โครงการ “ไทยเด็ด” ถือเป็นต้นแบบที่แสดงถึงพลังของภาคเอกชนในการช่วยพัฒนารายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน จากการสนับสนุนในด้านต่างๆ ขนมปั้นขลิบน้องหนึ่งได้เติบโตจากธุรกิจขนาดเล็กสู่ความสำเร็จระดับร้อยล้าน โดยมีการสร้างงานและสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่น ทำให้โครงการนี้กลายเป็นแบบอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและชุมชนได้ โดยมีเจ้าหน้าที่ของ BEAM ช่วยเหลือ ดูแลเป็นพี่เลี้ยง หรือ PULA ที่เป็นบริษัทให้การประกันพืชผลและปศุสัตว์ในแอฟริกาและเอเชีย เพื่อช่วยลดผลกระทบให้กับเกษตรกรจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ซึ่งในปี 2562 ได้ให้การช่วยเหลือเกษตรกรมากกว่า 1 ล้านคนใน 11 ประเทศ

Game Changers เพื่อมุ่งสู่ “การสานพลังเอกชนลดเหลื่อมล้ำ

ข้อเสนอที่ 1: ขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคมของสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) ตามประกาศที่ 1/2567 อย่างจริงจัง โดยกำหนดให้มีวงเงินเป้าหมายในการดำเนินการตามโครงการนี้อย่างน้อยปีละ 20,000 ล้านบาท ซึ่งหากใช้เงินประมาณโครงการละ 20 ล้านบาทก็จะสามารถทำได้ประมาณ 1,000 โครงการทั่วไทยกับบริษัทเอกชนมากกว่า 1,000 บริษัท)

ทาง BOI ได้เริ่มใช้มาตรการนี้มาตั้งแต่ปี 2565 โดยให้แรงจูงใจด้านภาษีกับบริษัทเอกชนที่สนใจ ล่าสุด “สามารถได้รับวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมเป็นสัดส่วนไม่เกิน 120% ของเงินลงทุน” โดยเน้นการช่วยเหลือชุมชนด้าน “กิจการด้านการเกษตรหรือบริหารจัดการน้ำแบบองค์รวม กิจการด้านผลิตภัณฑ์ชุมชน กิจการท่องเที่ยวชุมชน กิจการด้านสิ่งแวดล้อม กิจการด้านการศึกษา หรือกิจการด้านสาธารณสุข และ รวมไปถึงกรณีที่เป็นการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นผ่านความร่วมมือกับสถาบันวิจัยหรือสถานศึกษาของรัฐด้วย ทั้งนี้ สำหรับการดำเนินโครงการในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 พบมีบริษัทเข้าร่วม 20 บริษัท ให้การสนับสนุนองค์กรท้องถิ่น 124 แห่ง เทียบเท่างบประมาณ 450 ล้านบาท

โครงการนี้จะนำจุดแข็งของภาคเอกชนมาช่วยข้าราชการในการส่งเสริมยกระดับรายได้ของชุมชนอย่างยั่งยืน และนำบุคคลากรที่มีคุณภาพของเอกชนมาทำงานช่วยในการแก้โจทย์ของชุมชนอย่างจริงจัง ซึ่งจะมีค่ามากยิ่งกว่าเม็ดเงินภาษีที่คืนให้กับภาคเอกชนไป

ข้อเสนอที่ 2: จัดสรรงบประมาณให้กับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมอย่างน้อยปีละ 5,000 ล้านบาท โดยค่อยทยอยเพิ่มวงเงินให้ปีละ 1,000 ล้านบาท  (เนื่องจากปัจจุบันสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมยังคงมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานไม่มาก) เพื่อเป็นกองทุนในการดำเนินการ จัดสรรไปยังวิสาหกิจเพื่อสังคมต่างๆ ที่สนใจ ซึ่งหากใช้เงินประมาณโครงการละ 10 ล้านบาท จะสามารถทำได้เพิ่มขึ้นประมาณ 500 โครงการต่อปี ช่วยส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม 500 แห่ง

ในเรื่องนี้ รัฐบาลได้ตราพระราชบัญญัติวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 ขึ้นแล้ว แต่ยังขาดการจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมให้ ด้วยเหตุนี้ จึงมีข้อจำกัดในการส่งเสริม และทำให้ The Third Sector ของไทยยังไม่สามารถพัฒนาได้เช่นในอังกฤษ และสหรัฐฯ วงเงินงบประมาณที่เสนอนี้จะช่วยส่งเสริมเด็กรุ่นใหม่ที่มีใจรักการช่วยเหลือสังคม ให้สามารถดำเนินการตามฝันของเขาได้ และเป็นแขนขาให้กับภาครัฐ ช่วยในการแก้ไขปัญหาและให้บริการสังคมอย่างมีคุณภาพ ซึ่งจะลดภาระให้กับภาครัฐในอนาคต

ข้อเสนอที่ 3: เร่งรัดดำเนินการเรื่อง Social Taxonomy เพื่อกำหนดกรอบแนวคิดเรื่องการช่วยเหลือสังคมของภาคเอกชน และกำหนดมาตรฐานการรายงาน ตลอดจนให้ กลต. และ ตลท. ดำเนินการพัฒนาแนวคิดเรื่อง Social Credit ของภาคเอกชน โดยจัดให้บริษัทเอกชน โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียน นำร่องเรื่องการรายงานโครงการเพื่อสังคมและ Social Impacts ที่เกิดขึ้นเหล่านี้อย่างเป็นระบบ ครอบคลุม ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่อสำนักงาน กลต. ต่อนักลงทุน เป็นประจำทุกปี ตามมาตรฐานที่ กลต. กำหนด

ทั้งนี้ ในการขับเคลื่อนโครงการร่วมกับภาคเอกชน รัฐสามารถที่จะกำหนดเป้าหมายร่วมในการดำเนินการให้กับภาคเอกชน เพื่อทุกฝ่ายจะได้มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน เช่น การช่วยพัฒนาสินค้าชุมชน การปลูกป่าและฟื้นฟูธรรมชาติ การจัดการขยะตามชุมชน การเพิ่มคุณภาพการศึกษาให้กับเด็กในชนบท โดยเอกชนสามารถคัดเลือกพื้นที่ดำเนินการใกล้กับที่ตั้งของธุรกิจของตน สานพลังภาคเอกชนนำไปสู่เปลี่ยนแปลงทั้งประเทศร่วมกัน ซึ่งท้ายสุด การทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับภาคเอกชนและวิสาหกิจเพื่อสังคมเช่นนี้ จะช่วยให้รัฐสามารถเปลี่ยนระบบราชการจากการเน้นการให้บริการ (Operators) ไปสู่การเป็นผู้กำหนดนโยบายและจัดสรรงบประมาณ (Policy Makers) เป็นหลักต่อไป

โครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย

โครงการ “ผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย” เป็นตัวอย่างของโครงการที่ทุกภาคส่วนร่วมกันผลักดันสร้างโอกาสและรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน ภายใต้การดำเนินงานของคณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ร่วมกับกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทยโดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2559 ซึ่งมีกิจกรรมต่างๆ เช่น

  • ทำงานร่วมกับชุมชนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ทายาทผ้าขาวม้าไทย” เพื่อพัฒนาการแปรรูปผลิตภัณฑ์ส่งเสริมซ่องทางการจัดจำหน่าย และเชื่อมโยงให้เกิดเป็นเครือข่ายชุมชน
  • สนับสนุนกลุ่มเยาวชนและคนรุ่นใหม่สืบสานและพัฒนาการออกแบบลายผ้า เทคนิคการทอให้ทันสมัย
  • สร้างความเข้าใจเพื่อให้ผู้บริโภคมองเห็นคุณค่าของผ้าขาวม้าทอมือ ทั้งในด้านศิลปวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ

ชุมชนลงมือทำ เอกชนขับเคลื่อน รัฐบาลสนับสนุนเป็นพลังสำคัญในการผลักดันโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่น หัตถศิลป์ไทย

ตัวอย่างของ “พลังชุมชน” ที่ประสบความสำเร็จ คือ แบรนด์นุชบา ที่เน้นการเรียนรู้ร่วมกันและสร้างโอกาสให้ชุมชน โดยนุชบาสามารถผลิตเสื้อผ้าขาวม้าจำนวน 700 ตัว ภายในเวลาเพียงเดือนครึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการผลิตและจัดการของเครื่องข่ายชุมชน

จากความสำเร็จในระดับอำเภอ ขยายมาสู่ระดับจังหวัด โดยให้แต่ละอำเภอผลิตในสิ่งที่ตนเองถนัด เช่น อำเภอลืออำนาจ ทอผ้าขาวม้าสีสังเคราะห์ อำเภอปทุมราชวงศา ทอผ้าขาวม้าย้อมครามและอำเภอหัวตะพานเย็บแปรรูปอย่างเดียว ซึ่งเป็นตัวอย่างความสำเร็จในการ “สานพลังเอกชนลดความเลื่อมล้ำ” โดยนำประสบการณ์การทำงานร่วมกับองค์กรใหญ่มาใช้เพื่อเปิดมุมมองความคิดให้กว้างไกลมากขึ้น ปัจจุบันมีเครือข่าย 40 ชุมชน ใน 29 จังหวัด สร้างรายได้ให้ชุมชนตั้งแต่ปี 2559-2566 รวมมูลค่ากว่า 235,000,000 บาท