จุดเปลี่ยนที่ 2 “พัฒนาระบบน้ำทั่วประเทศ”

ภาวะโลกร้อน หรือ Global Warming ได้ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทำให้ประเทศไทยมีฤดูแล้งยาวนานมากขึ้น เกิดความแห้งแล้งมากขึ้น ขณะที่ฤดูฝนจะสั้นลง แต่มีฝนตกชุกมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ สถานการณ์ภัยแล้งและภัยจากน้ำท่วมของไทยจึงมีการแปรปรวน ยากต่อการคาดเดาหรือพยากรณ์ได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้การบริหารจัดการน้ำในประเทศมีความซับซ้อนมากขึ้น ตลอดจนกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนเป็นวงกว้าง ทั้งในส่วนของเกษตรกรที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง และภาคส่วนเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ต้องใช้น้ำ ไม่ว่าจะเป็นภาคการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม และการอุปโภค-บริโภคของประชาชน รัฐจึงจำเป็นต้องเร่งลงทุนใหญ่ในระบบการบริหารจัดการน้ำทั่วประเทศ เพื่อช่วยลดผลกระทบจากความแปรปรวนของภูมิอากาศที่จะมีต่อประชาชนในภาคส่วนต่าง ๆ

การแก้ปัญหาเรื่องน้ำของประเทศ มีความจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและเตรียมมาตรการรองรับให้ครบถ้วนในทุกมิติ ตามหลักแนวคิดของยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำของประเทศ สร้างความมั่นคงของการใช้น้ำในประเทศ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทางเศรษฐกิจและสังคม โดยคำนึงถึงความเสมอภาคและความยั่งยืนของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม โดยยึดหลักการพัฒนาตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ได้กำหนดวิสัยทัศน์ไว้ ดังนี้ “ทุกหมู่บ้านมีน้ำสะอาดอุปโภค บริโภค น้ำเพื่อการผลิตมั่นคง ความเสียหายจากอุทกภัยลดลง คุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน บริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ภายใต้การพัฒนาอย่างสมดุล โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน”

กรอบแนวคิดอนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนา และ/หรือป้องกันอุทกภัย

ระบบชะลอน้ำ หรือ Contour Trench (ร่องดักซึมน้ำ) เทคนิคการอนุรักษ์น้ำในพื้นที่ลาดชันและแห้งแล้ง โดยการทําร่องรับน้ำตามแนวระดับ (Continuous Contour Trenches: CCTs) คือ การขุดร่องรับน้ำตามแนวระดับ เพื่อลดความเร็วน้ำที่ไหลบ่าหน้าดิน และยังเพิ่มศักยภาพให้เกิดการไหลซึมของน้ำในปริมาณมาก โดยบริเวณหน้าดินของคันดินจะมีการดำเนินการปลูกพืช กล้าไม้ หรือเมล็ดพันธุ์จําพวก มะขาม เบอรรี่ ไผ่ ซึ่งเป็นพืชประเภทใช้น้ำน้อย และสามารถช่วยในการชะลอน้ำและโคลนได้

Contour Trench นอกจากจะเพิ่มความชุ่มชื้นในดินแล้ว ระดับน้ำในบ่อน้ำ และแหล่งน้ำบริเวณปลายน้ำ ยังเพิ่มปริมาณขึ้นสามารถเพิ่มโอกาสในการจัดการน้ำเพื่อทำการเกษตรบนพื้นที่สูง หรือเพื่อการอุปโภคบริโภคของชุมชน รวมถึงป้องกันการพังทลายของหน้าดินอีกด้วย

ทฤษฎี “Polder System” คือ การจัดกลุ่มพื้นที่ปิดล้อมในบริเวณที่ลุ่มต่ำ เพื่อป้องกันน้ำจากภายนอกพื้นที่ ป้องกันไม่ให้ไหลบ่าเข้ามาท่วมในพื้นที่สำคัญ เช่น ตัวเมือง หรือเขตเศรษฐกิจ สําหรับการระบายน้ำภายในพื้นที่ป้องกันที่เกิดจากฝนที่ตกลงมาในพื้นที่จะใช้ระบบคลองและระบบท่อระบายน้ำ แต่ก็อาจใช้สถานีสูบน้ำอยู่ที่ปากคลอง เพื่อช่วยระบายน้ำภายในพื้นที่ป้องกันลงสู่แม่น้ำได้ ซึ่งการเปิดและปิดประตูระบายน้ำจะต้องสัมพันธ์กับระดับน้ำภายนอก Polder System ทำได้โดยจัดทำคันเขื่อนกั้นรอบติดต่อกันทั้งพื้นที่ และปล่อยให้ระหว่างเขื่อนหรือคันดินเป็นช่องน้ำหรือคูคลอง และไปเชื่อมกับแม่น้ำหลักหรือต่อลงทะเล โดยสร้างเขื่อนกันน้ำทะเลหนุน ในแต่ละหลุมจะมีทั้งใหญ่เล็ก พื้นที่ชั้นในเป็นอาคารสูงย่านธุรกิจ ชานเมืองเป็นที่อยู่และอุตสาหกรรม  กลุ่มนอกเมืองทำเกษตรกรรม เป็นต้น (รูปที่ 12)

“เริ่มทำแต่ตอนนี้ เพื่อให้น้ำเป็นคำตอบสำหรับทุกคน

แนวคิดการแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature Base Solution: NBS) พื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetlands) เป็นอีกหนึ่งระบบนิเวศที่สำคัญและกำลังตกอยู่ในภาวะถูกคุกคามมากที่สุด การอนุรักษ์ ฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำให้กลับมาเป็นระบบที่สมบูรณ์ พื้นที่ชุ่มน้ำก็จะช่วยกลายเป็นแหล่งกักเก็บน้ำธรรมชาติ ป้องกันน้ำท่วม และเป็นแหล่งทรัพยากรและผลผลิตธรรมชาติ ที่มนุษย์สามารถเข้าไปเก็บเกี่ยวใช้ประโยชน์ได้ โดยใช้แนวทางการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetland Restoration and Protection) ได้แก่ การพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำของแหล่งน้ำธรรมชาติ ฟื้นฟูสระน้ำ บ่อน้ำ ที่ไม่มีศักยภาพ หรือไม่ได้รับการพัฒนา ให้กลับมาใช้งานได้และรองรับน้ำได้เพิ่มมากขึ้น เชื่อมต่อกุด หรือทะเลสาบ ให้กลับมาเชื่อมต่อกับเส้นทางน้ำหลัก (อ่างพวง) ขุดลอกแหล่งน้ำและเส้นทางน้ำที่ตื้นเขิน ขยายหน้าตัดความกว้างลำน้ำ กำจัดวัชพืช ผักตบชวา กีดขวางการระบายน้ำและเส้นทางสัญจร ปล่อยพื้นที่รับน้ำตามตามฤดูกาลธรรมชาติ และศึกษาผลกระทบ

แนวคิดการนำน้ำไปเก็บไว้ในพื้นที่ที่มีใต้ดินเป็นชั้นทราย หรือชั้นหินอุ้มน้ำ พื้นที่ 51.32 ล้านไร่ ในการนำน้ำไปเก็บไว้ที่ชั้นใต้ดินในชั้นหินอุ้มน้ำ เปรียบเสมือนกับการฝากเงินไว้กับธนาคาร วันใดที่เดือดร้อนเรื่องเงิน ก็สามารถนำเงินที่เก็บออมไว้นำมาใช้ได้ ซึ่งธนาคารน้ำใต้ดินก็เช่นเดียวกัน ช่วงหน้าฝนที่มีน้ำมาก ธนาคารน้ำใต้ดินก็จะช่วยดูดซับน้ำ เพื่อนำไปกักเก็บไว้ที่ชั้นหินอุ้มน้ำ และเมื่อถึงช่วงหน้าแล้งก็สามารถสูบน้ำขึ้นมาใช้ได้ สำหรับประโยชน์ของการน้ำไปเก็บไว้ในพื้นที่ที่มีใต้ดินเป็นชั้นทราย หรือชั้นหินอุ้มน้ำ (รูปที่ 13 และ 14) ได้แก่

1) แก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง

2) แก้ไขปัญหาพื้นที่แห้งแล้ง

3) ช่วยเพิ่มระดับน้ำใต้ดินน้ำบาดาล

4) ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวดินทำให้ต้นไม้และพืชเขียวทั้งปี

5) ลดปริมาณน้ำเสียในชุมชน

6) ลดความเสียหายด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนขวางทางน้ำ การกัดเซาะถนนของน้ำหรือน้ำป่าไหลหลาก

7) ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและป้องกันไฟป่า

8) ช่วยลดการเกิดโรคระบาดจากแมลงต่างๆ เช่น ยุง แมลงวัน

9) แก้ไขปัญหาน้ำเค็ม โดยการส่งน้ำจากผิวดินลงไปกดทับน้ำเค็มที่มีความถ่วงจำเพาะมากกว่าไม่ให้ขึ้นมาปนเปื้อนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และการเกษตร

10) กลุ่มเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีปริมาณน้ำที่เพียงพอในการทำการเกษตร สามารถพึ่งพาตนเองได้

แนวคิดการพัฒนา การบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การอนุรักษ์ การปรับปรุงฟื้นฟูทรัพยากรน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน น้ำท่วม น้ำแล้ง ระบบนิเวศ ในประเทศไทยอย่างยั่งยืน ได้แก่

  • แนวคิดการพัฒนา อ่างเก็บน้ำเพิ่มเติม เนื่องจากปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ทำให้ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติ หนอง บึง แม่น้ำ หรืออ่างเก็บน้ำ เกิดการระเหยมากขึ้น ความชื้นในอากาศสูงขึ้น และมีปริมาณฝนเพิ่มมากขึ้น เกิดปรากฏการณ์ฝนตกแบบเปลี่ยนรูปแบบ โดยฝนตกเป็นปริมาณมาก แต่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่ตัวเมือง หรือด้านท้ายเขื่อน ส่งผลให้ปริมาณน้ำในฤดูแล้งขาดแคลน และฤดูฝนเกิดน้ำท่วม จึงมีความจำเป็นที่ต้องมีการสร้างอ่างเก็บน้ำเพิ่มเติม ที่ด้านท้ายน้ำ โดยหาสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำขนาดใหญ่ เนื่องจากด้านท้ายน้ำมีสภาพภูมิประเทศที่ต่ำกว่าด้านเหนือน้ำ จึงมีความจำเป็นต้องเสริมระบบกระจายน้ำร่วมด้วย เพื่อให้สามารถบริหารจัดการโครงการฯ กระจายน้ำให้ประชาชนใช้ประโยชน์ในฤดูแล้ง
  • แนวคิดการพัฒนา ศักยภาพแหล่งน้ำสาธารณะ หนอง บึง แม่น้ำ และอ่างเก็บน้ำเดิมที่มี ได้แก่1) การเสริมระบบท่อส่งน้ำเพื่อใช้สำหรับลำเลียงน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และเกษตรกรรมในฤดูแล้ง และช่วยเพิ่มศักยภาพในการระบายน้ำในฤดูฝน2) บริหารจัดการ ระบายตะกอน โดยระยะเร่งด่วนให้ดำเนินการขุดลอก และดำเนินการก่อสร้าง ประตูระบายตะกอน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักของแหล่งน้ำสาธารณะ หนอง บึง แม่น้ำ และอ่างเก็บน้ำ ให้มากขึ้น
  • แนวคิดการพัฒนา การบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การฟื้นฟู และ การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ทั้งระบบ เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน พัฒนาอ่างเก็บน้ำจืดขนาดความจุ 2,000 ล้าน ลบ.ม. เพิ่มประสิทธิภาพการส่งน้ำด้วยระบบกระจายน้ำด้วยท่อภายใต้แรงดัน
  • ขุดลอกทะเลสาบสงขลาที่ตื้นเขินพื้นที่ 983 ตร.กม. นำมูลดินจากการขุดลอกมาถมคืนชายฝั่งทะเลตลอดความยาว 155 กม. ยื่นออกไปในทะเล

แนวคิดฟื้นฟูป่าในพื้นที่เขาหัวโล้น (คทช.) และพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมของประเทศจำนวน 25.5 ล้านไร่ รัฐบาลส่งเสริมให้ประชาชนมีอาชีพปลูกป่าโดยมิต้องต้องตัด ให้เกษตรกรในพื้นที่ คทช. หรือเขตป่าที่มีปัญหากรรมสิทธิ์ มีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวได้

แนวคิดของการพัฒนากฎหมาย ซึ่งในยุคปัจจุบันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในสภาวการณ์ที่เทคโนโลยีและเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กฎหมายหลายฉบับที่มีอยู่ในปัจจุบัน อาจไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงเสนอให้มีการปรับปรุงกฎหมายการขอใช้ประโยชน์พื้นที่ของแต่ละหน่วยงานให้ทันสมัย ลดขั้นตอน และรวดเร็วมากขึ้น ยกตัวอย่างกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง

  • การขอใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าไม้ มีกฎหมาย หรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พรบ. ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 พรบ. ป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2559 และระเบียบกรมป่าไม้ว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการใช้พื้นที่เป็นสถานที่ปฏิบัติงาน หรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่นของส่วนราชการหรือองค์การของรัฐภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2548
  • การขอใช้ประโยชน์เขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ มีกฎหมาย หรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พรบ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 และกฎกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • การขอใช้ประโยชน์เขตพื้นที่ที่ล่วงล้ำลำแม่น้ำ มีกฎหมาย หรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 117 และกฎกระทรวงคมนาคม ฉบับที่ 63 (พ.ศ. 2537)
  • การขอใช้ประโยชน์ในแหล่งน้ำสาธารณะ แม่น้ำ ลำคลอง ห้วย หนอง บึง กุด ป่าบุ่ง ป่าทาม พื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่แหล่งกักเก็บน้ำ พื้นที่ทางน้ำหลาก พื้นที่น้ำนอง พื้นที่ลุ่มต่ำ ทางน้ำหรือพื้นที่อื่นใดที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน มีกฎหมาย หรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พรบ. ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561
  • การขออนุญาตดำเนินการขุดลอกแหล่งน้ำแม่น้ำ ลำคลอง ห้วย หนอง บึง กุด ป่าบุ่ง ป่าทาม พื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่แหล่งกักเก็บน้ำ พื้นที่ทางน้ำหลาก พื้นที่น้ำนอง พื้นที่ลุ่มต่ำ ทางน้ำหรือพื้นที่อื่นใดที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน มีกฎหมาย หรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยวิธีการเกี่ยวกับการขุดลอกแหล่งน้ำสาธารณะประโยชน์ที่ตื้นเขิน พ.ศ. 2547 ในการขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ตามหัวข้อข้างต้นนั้น มีขั้นตอนมาก และไม่ได้กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จไว้ในกระบวนงาน ส่งผลให้เกิดความล่าช้าของกระบวนงานส่งผลให้ โครงการฯที่มีประโยชน์ต่อประชาชนเกิดขึ้นได้ช้า

การพัฒนาระบบตรวจวัดและวิเคราะห์ข้อมูลน้ำ

การวิเคราะห์สถานการณ์ คาดการณ์พื้นที่เสี่ยงภัยแล้ง น้ำท่วม การแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า ล้วนต้องใช้ข้อมูลจากระบบตรวจวัดเพื่อนำไปวิเคราะห์ข้อมูลต่อทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบตรวจวัดปริมาณน้ำในแหล่งน้ำ ปริมาณน้ำฝน รวมถึงปริมาณน้ำท่า จากนั้นจึงนำข้อมูลมาวิเคราะห์แบบบูรณาการร่วมกัน นำไปสู่การพัฒนาระบบฐานข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจ เพื่อใช้ในการติดตาม เฝ้าระวัง และแจ้งเตือนภัยให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้ทราบล่วงหน้า ลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้การสรุปและรายงานผลให้ประชาชนรับทราบ ควรอยู่ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ครบถ้วน ทั่วถึง และบูรณาการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การเตือนภัยและการช่วยเหลือมีประสิทธิภาพสูงสุด

Game Changers เพื่อมุ่งสู่การจัดการน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค

เป้าประสงค์สำคัญ คือ การจัดหาน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภคให้แก่ชุมชน ครบทุกหมู่บ้านหรือทุกครัวเรือน ชุมชนเมือง แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ พัฒนาน้ำดื่มให้ได้มาตรฐานในราคาที่เหมาะสม รวมทั้งการจัดหาแหล่งน้ำสำรองในพื้นที่ซึ่งขาดแคลนแหล่งน้ำต้นทุน ดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำให้เพียงพอโดยพิจารณาตามความเหมาะสมของพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรวางแผนรองรับการใช้น้ำของประชากรที่มีการขยายตัวมากขึ้น  โดยจัดหาแหล่งน้ำผิวดิน ใต้ดิน และวางแผนสำรองน้ำจากพื้นที่ใกล้เคียงตามความเหมาะสม หรือบางพื้นที่จัดทำระบบ RO (Reverse Osmosis) ทั้งนี้ ควรวางแผนในพื้นที่เสี่ยงน้ำแล้งที่ สทนช.วิเคราะห์ และคาดการรายปีเพื่อเน้นจุดเป้าหมายชัดเจน

ข้อเสนอที่ 1: เสนอแนวทางการบริหารจัดการน้ำภายใต้สภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงเป็นวาระแห่งชาติ
มอบหมาย กนช. จัดทำกรอบแนวทางพัฒนาให้เป็นรูปแบบชัดเจน เป็นไปตามกรอบแผนพัฒนาประเทศ และนโยบายที่สำคัญในเรื่องทรัพยากรน้ำ พัฒนาโครงการสำคัญ ได้แก่ การพัฒนา การบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การอนุรักษ์ การปรับปรุงฟื้นฟู ทรัพยากรน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน น้ำท่วม น้ำแล้ง ระบบนิเวศ ในประเทศไทยอย่างยั่งยืน

ข้อเสนอที่ 2: ดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำเดิมที่มี
โดยให้ดำเนินการ ระบายตะกอน เป็นวาระเร่งด่วนให้ดำเนินการขุดลอก และดำเนินการก่อสร้าง ประตูระบายตะกอน และ/หรือสร้างอ่างเก็บน้ำเพิ่มเติม ที่ด้านท้ายน้ำ โดยหาสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อฟื้นฟู เพิ่มศักยภาพให้สามารถรองรับปริมาณน้ำได้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และ/หรือพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำขนาดใหญ่ สำหรับรองรับปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลที่ไหลมารวมกันที่ด้านท้ายน้ำเพื่อบรรเทาภัยแล้ง และอุทกภัยที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากด้านท้ายน้ำมีสภาพภูมิประเทศที่ต่ำกว่าด้านเหนือน้ำ จึงมีความจำเป็นต้องเสริมระบบกระจายน้ำร่วมด้วย

ข้อเสนอที่ 3: ดำเนินการก่อสร้างอ่างพวง หรือเชื่อมโยง พื้นที่ชุ่มน้ำ กุด หลง และแหล่งน้ำสาธารณะ
โดยมุ่งเน้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน เนื่องด้วยเป็นจุดรวมและจบของลำน้ำชีและมูล โดยใช้โครงสร้างสีเขียว และ/หรือสีเทาร่วมกัน เพื่อบริหารจัดการน้ำ ในพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำชีและมูล เพื่อลดการเกิดอุทกภัย

ข้อเสนอที่ 4: ดำเนินการพัฒนา การบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การฟื้นฟู และ การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา
เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน น้ำท่วม น้ำแล้ง ระบบนิเวศ ในภาคใต้ อย่างยั่งยืน โดยพัฒนาอ่างเก็บน้ำจืดขนาดความจุ 2,000 ล้าน ลบ.ม. และขุดลอกเพิ่มศักยภาพจากเดิมที่มีตะกอนสะสมเป็นจำนวนมาก และนำมูลดินจากการขุดลอกมาถมคืนชายฝั่งทะเล


ข้อเสนอที่ 
5: จัดตั้งโครงการนำน้ำไปเก็บไว้ในพื้นที่ที่มีใต้ดินเป็นชั้นทราย หรือชั้นหินอุ้มน้ำ พื้นที่ 51.32 ล้านไร่ โดยส่วนใหญ่ชั้นดินของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ ภาคใต้ของประเทศไทย จะเป็นตะกอนกรวด/ทราย ไม่รวมดินเค็ม ส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการดูดซึมน้ำไว้อุปโภค บริโภคในฤดูแล้ง และดูดซับน้ำในฤดูน้ำหลากช่วยบรรเทาอุทกภัยได้


ข้อเสนอที่ 
6: โครงการการผันน้ำข้ามลุ่มน้ำเพื่อนำน้ำไปใช้ในพื้นที่เศรษฐกิจภาค และภาคตะวันออก (EEC) เช่น โครงการผันน้ำจากเขื่อนสตึงนัม


ข้อเสนอที่ 
7: ดำเนินการฟื้นฟูป่าในพื้นที่เขาหัวโล้น (คทช.) และพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมของประเทศ เพื่อลดการเกิดน้ำหลาก และดินถล่ม นำร่องเริ่มที่ภาคเหนือ โดยวิธีสูบน้ำไปไว้บนยอดเขาหัวโล้นด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ และปลูกป่าร่วมด้วย เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง พร้อมกับติดตั้งระบบตรวจวัดและวิเคราะห์ข้อมูลน้ำ การวิเคราะห์สถานการณ์ คาดการณ์พื้นที่เสี่ยงภัยแล้ง น้ำท่วม การแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า ให้คลอบคลุมครบทุกพื้น ทุกจังหวัดที่ที่เสี่ยงภัยในภาคเหนือ


ข้อเสนอที่ 
8: ส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงน้ำสะอาด เพื่อการอุปโภคบริโภคได้ในทุกหมู่บ้าน ทุกครัวเรือน ชุมชนเมือง แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ รวมถึงพัฒนาน้ำดื่มให้ได้มาตรฐานในราคาที่เหมาะสม โดยให้แบ่งพื้นที่ในการดูแล (Zoning) และกำหนดหน่วยงานของรัฐในการดูแล (Regulator)

Game Changers เพื่อมุ่งสู่การปรับปรุงกฎหมาย

ข้อเสนอที่ 1: เสนอให้มีการพัฒนา และปรับปรุงกฎหมาย การขอใช้ประโยชน์พื้นที่ของแต่ละหน่วยงานให้ทันสมัย ลดขั้นตอน ลดความทับซ้อน และรวดเร็วมากขึ้น เพื่อรองรับการพัฒนาที่มากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อเสนอที่ 2: เสนอให้ออกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และก่อตั้งกองทุนจ่ายค่าชดเชย ที่ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มต่ำทั้ง 25 ลุ่มน้ำ เพื่อใช้ประโยชน์ในการพักน้ำ เพื่อบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ทั่วประเทศ

ข้อเสนอที่ 3: เสนอให้หน่วยงานดำเนินการสามารถบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานที่ดำเนินการกิจกรรมในพื้นที่ดังกล่าวเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น การแก้ปัญหาอุทกภัย จังหวัดอุบลราชธานี โดยก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง หรือใหญ่ เพื่อเพิ่มศักยภาพการเก็บกักน้ำ ระบายน้ำ และเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการบริหารจัดการน้ำในจังหวัดอุบลราชธานี ให้ยึดใช้ พรบ. ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 และ/หรือ พรบ. ชลประทานหลวง เป็นกฎหมายหลัก ร่วมกับผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม IEE, EIA และ EHIA อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยสามารถดำเนินการก่อสร้างได้เลย ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใช้ประโยชน์จากหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ เพียงแต่ให้หน่วยงานเจ้าของพื้นที่ให้ความเห็น และ/หรือแจ้งแผนการดำเนินโครงการฯ เพื่อทราบก่อน