จุดเปลี่ยนที่ 11 “พัฒนาสู่ RTARF NEXT”

การเปลี่ยนใหญ่กองทัพไทยในสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงในปัจจุบัน เป็นงานที่ท้าทายอย่างยิ่ง อันเป็นผลเนื่องมาจากระเบียบโลกใหม่ อิทธิพลของประเทศมหาอำนาจ สถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาค ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี รวมทั้งรูปแบบการปฏิบัติการทางทหารที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาถึงงานด้านความมั่นคงในมิติอื่น ๆ และการสนับสนุนการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศและแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการพิจารณาความมั่นคงแบบองค์รวม (Comprehensive Security) และการผสมผสานพลังอำนาจแห่งชาติในทุกด้าน เพื่อการสร้างความได้เปรียบและอำนาจในการเจรจาต่อรอง เพื่อรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของชาติ

การพัฒนาขีดความสามารถมุ่งสู่กองทัพไทยที่พร้อมรองรับความท้าทายในอนาคต 

ในปัจจุบัน สถานการณ์ด้านความมั่นคงของโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและซับซ้อน กองทัพไทยจึงจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนาขีดความสามารถให้พร้อมรองรับความท้าทายใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แนวทางการพัฒนาขีดความสามารถนี้จำเป็นต้องอาศัยยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม เพื่อทำให้กองทัพมีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติการในหลายมิติ (MDO) แนวคิด “SMART” จึงถูกนำมาใช้เป็นกรอบในการวางแผน ซึ่งครอบคลุมทั้งโครงสร้าง (Structure) การยกระดับและพัฒนาให้มีความทันสมัยเท่าทันเทคโนโลยี (Modernization) การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ (Acquisition) การบริหารจัดการทรัพยากร (Resource Management) และการฝึกศึกษา (Training & Education) เพื่อให้กองทัพไทยสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

Game Changers
เพื่อ “พัฒนาสู่ 
RTARF NEXT”

ข้อเสนอที่ 1: S – Structure โครงสร้าง

  • การปรับโครงสร้างกำลังรบ กองทัพไทยต้องปรับโครงสร้างกำลังรบ ให้พร้อมรองรับภัยคุกคามและความท้าทายในทุกมิติ โดยต้องพัฒนาให้กำลังรบทุกเหล่าทัพมีขีดความสามารถ การปฏิบัติการร่วมทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ตามแนวคิดการปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (NCO) พร้อมรองรับการพัฒนามุ่งสู่การปฏิบัติการหลายมิติ (MDO) ทั้งนี้ ต้องพิจารณาให้สอดรับกับงบประมาณที่ได้รับ รูปแบบการปฏิบัติการทางทหาร ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคง
  • รูปแบบและแนวทางการเตรียมกำลังและการใช้กำลัง กระทรวงกลาโหมและกองทัพไทยต้องกำหนดรูปแบบและแนวทางการเตรียมกำลังและการใช้กำลัง ที่พร้อมรองรับการปฏิบัติการร่วมตามแนวคิด Joint Task Force โดยในการเตรียมกำลัง ทุกเหล่าทัพต้องพิจารณากำหนดแผนพัฒนาขีดความสามารถให้สอดคล้องกัน มุ่งเน้นการปฏิบัติการร่วมผ่านระบบเครือข่ายกองทัพไทย นำไปสู่การบูรณาการขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจผ่านการบัญชาการและควบคุมร่วม
  • การปรับโครงสร้างองค์กร กระทรวงกลาโหมและกองทัพไทยต้องปรับโครงสร้างองค์กรให้ทันสมัย มีขนาดเหมาะสม มีความยืดหยุ่นและอ่อนตัวในระบบการทำงาน มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติภารกิจ เพื่อให้การบริหารจัดการองค์กรมีความเป็นเลิศตามมาตรฐานสากล โดยต้องพิจารณาถึงบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบ ความคุ้มค่าในการใช้ทรัพยากร รวมทั้งความเชื่อมโยงระหว่างเทคโนโลยี ระบบการทำงาน และคุณภาพของกำลังพล ทั้งนี้ กองทัพไทยต้องพิจารณาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ปรับลดหน่วยงานหรือตำแหน่งที่ไม่มีความจำเป็น หรือมีความซ้ำซ้อน รวมทั้งจัดตั้งหน่วยงานหรือตำแหน่งใหม่เพิ่มเติม เพื่อรองรับบทบาทหน้าที่ เทคโนโลยี และระบบการทำงานรูปแบบใหม่

ข้อเสนอที่ 2: M – Modernization การยกระดับและพัฒนาให้มีความทันสมัยเท่าทันเทคโนโลยี

  • การกำหนดหลักนิยมปฏิบัติการและแนวคิดในการปฏิบัติภารกิจ กองทัพไทยต้องกำหนดหลักนิยมการใช้กำลังและแนวคิดในการปฏิบัติภารกิจ (Concept of Operations : CONOPS) ที่มีความชัดเจน เหมาะสมกับภารกิจและความรับผิดชอบ ให้พร้อมรองรับสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงในปัจจุบันและมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตตามสภาพความเป็นจริง
  • การเสริมสร้างขีดความสามารถกำลังรบ เพื่อให้มีความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจในสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงในปัจจุบันและมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต กองทัพไทยต้องเสริมสร้างขีดความสามารถกำลังรบให้เท่าทันเทคโนโลยี และพร้อมรองรับการปฏิบัติการหลายมิติ (MDO)
  • การบัญชาการและควบคุมร่วมหลายมิติ (Joint All-Domian Command & Control : JADC2) เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการหลายมิติ (MDO) โดยต้องสามารถตอบสนองการบัญชาการและควบคุม ได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ในระดับ Real Time หรือ Near Real Time นำไปสู่การตัดสินตกลงใจในการปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพ ถูกต้อง รวดเร็ว และเหมาะสมกับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งศึกษาและกำหนดแนวทางในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ในการเสริมสร้างขีดความสามารถการบัญชาการและควบคุม
  • ระบบตรวจจับที่มีความชาญฉลาด (Smart Sensor) ในทุกมิติ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ มุ่งสู่ Multi-Layered & Multi-Domain ISR ให้เท่าทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อสนับสนุนการบัญชาการและควบคุมร่วมหลายมิติ (JADC2) สร้างความหยั่งรู้ในสถานการณ์ร่วมกันในทุกพื้นที่ปฏิบัติการและทุกพื้นที่เป้าหมาย รวมทั้งสามารถตรวจจับภัยคุกคามสำคัญ เช่น เครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูง อากาศยานไร้คนขับ อาวุธปล่อยและขีปนาวุธนำวิถี ขีปนาวุธข้ามทวีป และดาวเทียมวงโคจรต่ำ เป็นต้น
  • ระบบเครือข่ายด้านการรบและด้านสนับสนุนการรบ ที่มีขีดความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายภาคพื้นและระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธี (Tactical Data Link: TDL) ที่มีความปลอดภัย เสถียร แข็งแกร่ง เชื่อถือได้ ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติการทั่วประเทศ รวมทั้งต้องเร่งพัฒนาขีดความสามารถการสื่อสารผ่านดาวเทียม (SATCOM) ในการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงกำลังรบ และการควบคุมอากาศยานไร้คนขับ MALE/HALE UAV และ UCAV
  • อาวุธยุทโธปกรณ์ที่พร้อมรองรับภัยคุกคามและความท้าทายในทุกมิติ ตามโครงสร้างกำลังรบที่มีความสมดุล มุ่งเน้นการบูรณาการขีดความสามารถกำลังรบในทุกมิติและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีทางทหาร เพื่อให้การปฏิบัติการร่วมเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดจนต้องจัดเตรียมอาวุธ กระสุน วัตถุระเบิด ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ให้มีความทันสมัย มีอำนาจการทำลาย (Fire Power) มีความแม่นยำ (Precision) สามารถปฏิบัติภารกิจจากระยะไกล (Stand-off) และ/หรือ นอกสายตา (Beyond Visual Range : BVR) และมีจำนวนเพียงพอต่อความต้องการในการใช้งาน ตามอัตราสะสมอาวุธสำรองสงครามที่กำหนดไว้ในแผนป้องกันประเทศ
  • ระบบป้องกันทางอากาศแบบบูรณาการ (Integrated Air Defense System : IADS) ที่พร้อมรองรับการถูกโจมตีจากเครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูง อาวุธปล่อยนำวิถีพื้น-พื้น อากาศยานไร้คนขับติดอาวุธ และโดรนโจมตีขนาดเล็กที่มีใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งกองทัพไทยต้องบูรณาการขีดความสามารถและวางเครือข่ายระบบป้องกันทางอากาศในลักษณะ Multi-Layered Air Defense System ด้วยระบบป้องกันทางอากาศระยะไกล ระยะปานกลาง และระยะใกล้ รวมทั้งระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (Anti-Drone) ให้ครอบคลุมจุดศูนย์ดุลของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ
  • ระบบปฏิบัติการทางไซเบอร์ที่มีประสิทธิภาพพร้อมรองรับภัยคุกคามทางไซเบอร์ ทั้งในด้านกำลังพล องค์ความรู้ และเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการหลายมิติ (MDO) รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการพัฒนาขีดความสามารถการข่าวกรอง การเฝ้าตรวจ และการลาดตระเวนทางไซเบอร์ (Cyber ISR) และการปฏิบัติการทางไซเบอร์ทั้งเชิงรับและเชิงรุก (Defensive/Offensive Cyber Operation) โดยต้องสามารถป้องกัน ติดตาม เฝ้าระวัง แจ้งเตือน วิเคราะห์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ และป้องปรามด้วยการทำลาย ยับยั้ง ลดทอนขีดความสามารถการปฏิบัติการทางไซเบอร์ของฝ่ายตรงข้าม และดำรงไว้ซึ่งเสรีในการปฏิบัติการทางไซเบอร์ของฝ่ายเรา ตลอดจนเสริมสร้างขีดความสามารถการกู้คืนสภาพทางไซเบอร์ (Cyber Resilience) ทั้งนี้ ต้องพิจารณานำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาประยุกต์ใช้ในการเสริมสร้างขีดความสามารถ Cyber ISR และ Cyber Operation
  • ระบบปฏิบัติการทางอวกาศที่พร้อมรองรับการปฏิบัติภารกิจการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติในอวกาศ โดยเฉพาะการเฝ้าระวังทางอวกาศ (Space Situation Awareness : SSA) และการบริหารจัดการการจราจรทางอวกาศ (Space Traffic Management : STM) มุ่งเน้นการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานด้านอวกาศ และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถการปฏิบัติการทางอวกาศ โดยต้องจัดหา และ/หรือ วิจัยและพัฒนาขีดความสามารถด้านอวกาศที่สอดคล้องกับเป้าหมายในการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศ ให้สามารถใช้งานทรัพยากรร่วมกันในภาพรวมของประเทศ
  • ระบบปฏิบัติการทางคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีขีดความสามารถในการป้องกัน ต่อต้าน และตอบโต้การปฏิบัติการทางคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของฝ่ายตรงข้าม รวมทั้งโจมตีกำลังรบฝ่ายตรงข้ามด้วยคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้า ทั้งยังต้องบริหารจัดการ ควบคุม กำกับดูแลการใช้งานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของฝ่ายเราให้สอดประสานกัน ป้องกันการรบกวน แทรกแซง หรือโจมตีจากฝ่ายเดียวกัน เพื่อใช้ประโยชน์การปฏิบัติการทางคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการเพิ่มขีดความสามารถของกำลังรบฝ่ายเราในลักษณะทวีกำลัง
  • การวางแผนและเตรียมการในการจัดหายุทโธปกรณ์ระดับยุทธศาสตร์ เช่น เรือดำน้ำ เครื่องบินควบคุมและแจ้งเตือนในอากาศ (Airborne Early Warning & Control : AEW&C) เครื่องบินเติมเชื้อเพลิงในอากาศ (Tanker) ขีปนาวุธโจมตีระยะไกล (Surface-to-Surface Missile) เป็นต้น อันเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถการปฏิบัติการระดับยุทธศาสตร์ และขีดความสามารถเชิงป้องปรามของประเทศ ซึ่งจะต้องพิจารณาประกอบกับงบประมาณที่ได้รับ บทบาทของประเทศมหาอำนาจที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในภูมิภาค รวมทั้งภัยคุกคามและความท้าทายที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในอนาคต

ข้อเสนอที่3 A – Acquisition การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์

เพื่อให้การพัฒนามุ่งสู่การปฏิบัติการหลายมิติ (MDO) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ กระทรวงกลาโหมและกองทัพไทยต้องพิจารณาปรับปรุงแนวทางการจัดหายุทโธปกรณ์ โดยจัดหาทดแทนเท่าที่จำเป็น มุ่งเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ เท่าทันเทคโนโลยี และตอบสนองต่อรูปแบบการปฏิบัติการทางทหารในอนาคต

  • รูปแบบและกระบวนการในการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ กระทรวงกลาโหมและกองทัพไทยต้องพัฒนาและปรับปรุงรูปแบบและกระบวนการในการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ ให้สอดรับกับสถานภาพงบประมาณและการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยต้องพิจารณาวางแผนในการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ร่วมกันเพื่อให้พร้อมรองรับการปฏิบัติการร่วมหลายมิติ (MDO) รวมทั้งพิจารณาวิธีการจัดหาในรูปแบบต่าง ๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการทางยุทธการ มีความคุ้มค่า และใช้งบประมาณที่ได้รับให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งระบบด้วยการเช่า หรือเช่าซื้อ หรือการขยายระยะเวลาในการชำระเงินตามงวดงาน (ขอยกเว้นการผูกพันงบประมาณไม่เกิน ๕ ปี) ซึ่งเป็นการกระจายภาระด้านงบประมาณของประเทศ และเพิ่มอำนาจการเจรจาต่อรอง เป็นต้น นอกจากนี้ ต้องแสวงประโยชน์จากนโยบายการชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ (Defense Offset Policy) ผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) และการสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ทั้งนี้ การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ต้องพิจารณาความคุ้มค่าในการใช้งาน (Cost Effectiveness) ค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งาน (Life Cycle Cot : LCC) การรักษาสภาพความพร้อมรบ ขีดความสามารถในการสนับสนุนการปฏิบัติการร่วม และการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน
  • การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์บนแนวคิด System Commonality กองทัพไทยต้องกำหนดแนวทางการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้สอดคล้องกันบนแนวคิด System Commonality เพื่อให้การส่งกำลังและซ่อมบำรุงมีความง่าย สะดวก เป็นการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า มุ่งสู่การพัฒนาระบบส่งกำลังบำรุงร่วมกองทัพไทย ตามยุทธศาสตร์ผนึกกำลังป้องกันประเทศ

ข้อเสนอที่ 4R – Resource Management การบริหารจัดการทรัพยากร

เพื่อให้สามารถใช้งานทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ กระทรวง กลาโหมและกองทัพไทยต้องกำหนดแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากร

  • การบริหารจัดการกำลังพล กระทรวงกลาโหมและกองทัพไทยต้องกำหนดแนวทางและกระบวนการในการสรรหา พัฒนา และบริหารกำลังพลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถจัดสรรกำลังพลไปปฏิบัติหน้าที่ได้ตามความรู้ความสามารถ และมีเส้นทางความก้าวหน้าในชีวิตราชการอย่างเหมาะสม โดยต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพและขีดความสามารถของกำลังพล พิจารณาปรับลดกำลังพล ปรับโครงสร้าง ปรับค่าตอบแทน เพื่อให้มีจำนวนกำลังพลที่เหมาะสม กำลังพลในทุกภาคส่วนโดยเฉพาะในส่วนกำลังรบและส่วนสนับสนุนการรบ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางทั้งการบัญชาการและควบคุม การปฏิบัติการทางไซเบอร์ ทางอวกาศ และทางคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ต้องมีความรู้ ทักษะ ขีดความสามารถ และเชี่ยวชาญในงานที่รับผิดชอบ รวมทั้งมีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่เหมาะสม ตลอดจนต้องลงทุนกับการพัฒนาคุณภาพและขีดความสามารถของกำลังพล โดยต้องเตรียมการสร้างความพร้อมให้กับกำลังพลทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อรองรับเทคโนโลยีและขีดความสามารถที่ต้องการมี มิใช่รอให้มีการจัดหาเทคโนโลยี หรือขีดความสามารถแล้ว จึงค่อยให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะและขีดความสามารถของกำลังพล
  • การบริหารจัดการองค์กร กระทรวงกลาโหมและกองทัพไทยต้องบริหารจัดการองค์กรตามหลักธรรมาภิบาล มุ่งเน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในศักยภาพและขีดความสามารถของกองทัพไทยในการปฏิบัติภารกิจการป้องกันประเทศ การรักษาเอกราชอธิปไตยและผลประโยชน์แห่งชาติ รวมทั้งต้องแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐาน ลดขั้นตอนที่เกินความจำเป็น มุ่งเน้นประสิทธิภาพและความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจ และมีการประเมินผลการปฏิบัติงานอยู่อย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังต้องบริหารจัดการความเสี่ยง โดยต้องวิเคราะห์ความเสี่ยงที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น พิจารณาโอกาสและผลกระทบที่เกิดจากความเสี่ยงนั้น ๆ เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบและแนวทางในการบริหารจัดการและพัฒนาองค์กร ให้สามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเป้าประสงค์ที่กำหนดไว้
    ตลอดจนให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการองค์ความรู้ มุ่งสู่การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ที่ให้ความสำคัญการพัฒนาคุณภาพและขีดความสามารถของกำลังพล โดยปลูกฝังและส่งเสริมให้กำลังพลพัฒนาตนเอง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งบริหารจัดการกำลังพลบนหลักคุณธรรม (Meritocracy) โดยจัดสรรกำลังพลที่มีค่านิยม ทักษะ และความรู้ความสามารถเหมาะสม ปฏิบัติงานในตำแหน่งที่มีความสำคัญ และส่งเสริมให้มีความก้าวหน้าในสายอาชีพ
  • การพัฒนาขีดความสามารถการส่งกำลังบำรุง กองทัพไทยต้องพัฒนาขีดความสามารถการส่งกำลังบำรุง เพื่อให้สามารถรักษาสภาพความพร้อมรบของกำลังรบในทุกมิติ ให้สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดเวลา เนื่องจากมีความจำเป็นต้องใช้งานอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ถือครองในการฝึก เพื่อรักษาสภาพความพร้อมรบของกำลังพลในทุกภาคส่วน โดยต้องเร่งพัฒนาระบบคลังพัสดุให้ทันสมัย มีคุณภาพ เป็นไปตามมาตรฐานสากล รวมทั้งวิเคราะห์และประเมินผลความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณในการรักษาสภาพความพร้อมรบ ตลอดจนพัฒนาระบบสารสนเทศด้านการส่งกำลังบำรุง เพื่อนำเสนอข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการส่งกำลังบำรุงได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และทันเวลา โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านการส่งกำลังบำรุงในลักษณะ Just-in-Time (JIT) และปัญญา ประดิษฐ์ (AI) ทั้งยังต้องกำหนดรูปแบบการส่งกำลังและซ่อมบำรุง ให้เหมาะสมกับสถานภาพอาวุธยุทโธปกรณ์ นอกจากนี้ ยังต้องบริหารจัดการการใช้งานอาวุธยุทโธปกรณ์ให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด โดยพิจารณานำระบบส่งกำลังบำรุงที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ (Performance Based Logistics : PBL) มาปรับใช้ เพื่อการส่งกำลังที่ลื่นไหล มีมาตรฐาน สามารถดำรงสภาพความพร้อมรบของกำลังรบและอาวุธยุทโธปกรณ์ในทุกมิติได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา บนพื้นฐานของความคุ้มค่าและการใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อเสนอที่5 T – Training & Education การฝึกศึกษา

ในการพัฒนากำลังพลให้พร้อมรองรับสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว กองทัพไทยต้องปรับเปลี่ยนและพัฒนาระบบการฝึกศึกษา ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาคุณภาพและขีดความสามารถของกำลังพลให้เท่าทันเทคโนโลยี พร้อมรองรับภัยคุกคามและความท้าทายในปัจจุบันและมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

  • การบูรณาการการฝึกศึกษา กองทัพไทยต้องบูรณาการและพัฒนาหลักสูตรการฝึกศึกษาในทุกระดับ ทั้งสถาบันการศึกษาที่ผลิตกำลังพลเพื่อปฏิบัติงานในกองทัพไทยโดยตรง หลักสูตรปรับพื้นฐานความเป็นทหารสำหรับข้าราชการบรรจุใหม่ หลักสูตรการศึกษาวิชาชีพทางทหาร (Professional Military Education : PME) และหลักสูตรของเหล่าทหารและสายวิทยาการให้สอดรับกับหลักนิยม แนวคิดการใช้กำลังกองทัพไทย และสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงในปัจจุบันและมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
  • การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเครื่องช่วยฝึกจำลอง กองทัพไทยต้องแสวงประโยชน์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเครื่องช่วยฝึกจำลอง โดยต้องประยุกต์ใช้เครื่องช่วยฝึกจำลอง (Simulator) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเพิ่มประสิทธิภาพการฝึก เพื่อพัฒนาคุณภาพและขีดความสามารถของกำลังพล ในทุกมิติ โดยเฉพาะในมิติไซเบอร์ และมิติอวกาศ รวมทั้งพิจารณาถึงความคุ้มค่าในการจัดตั้งศูนย์เครื่องช่วยฝึกจำลองทางยุทธวิธี
  • การกำหนดวงรอบการฝึก กองทัพไทยต้องกำหนดวงรอบการฝึกอย่างเป็นระบบ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถการปฏิบัติการร่วมตามแนวคิด “ฝึกเหมือนรบจริง รบจริงเหมือนฝึก Train Like You Fight, Fight Like You Train” ทั้งการฝึกตามวงรอบ การฝึกร่วมระหว่างเหล่าทัพ การฝึกร่วมกองทัพไทย การทดสอบการใช้กำลังของเหล่าทัพ และการฝึกร่วม/ผสมกับมิตรประเทศ

นอกเหนือจากการพัฒนาขีดความสามารถมุ่งสู่กองทัพไทยที่พร้อมรองรับความท้าทายในอนาคต (RTARF NEXT) ตามแนวคิด “SMART” รัฐบาลและกระทรวงกลาโหมต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความมั่นคงแบบองค์รวม (Comprehensive Security) ซึ่งครอบคลุมพลังอำนาจแห่งชาติในทุกมิติ ทั้งการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เศรษฐกิจและการเงิน การทหาร สังคมจิตวิทยา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งสิ่งแวดล้อมและพลังงาน โดยมีกองทัพไทยเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศและการแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติในทุกมิติ เช่น การป้องกันและรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศกรณีเกิดวิกฤตการณ์หรือสถานการณ์ฉุกเฉิน การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาสาธารณภัย (Humanitarian Assistance Disaster Relief : HADR) ทั้งการช่วยเหลือผู้ประสบภัย การบรรเทาทุกข์ และการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย การพัฒนาชุมชนและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน การรักษาความมั่นคงด้านสุขภาพทั้งในการควบคุมและป้องกันโรค การสนับสนุนการให้บริการด้านสุขภาพและการสร้างศักยภาพในการตอบสนองต่อโรคระบาด การป้องกันและจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ การบริหารจัดการภัยพิบัติทางสิ่งแวดล้อมทั้งน้ำท่วม ไฟป่า หมอกควันรวมทั้งการสนับสนุนโครงการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทด้วยการส่งเสริมการเกษตรและการสร้างงานให้กับชุมชน เป็นต้น

ทั้งนี้ กองทัพไทยจำเป็นต้องบูรณาการความร่วมมือและประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐ ภาคเอกชน และองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามและปัญหาความมั่นคงในทุกมิติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อเสนอที่ 6: การบริหารจัดการความมั่นคงแบบองค์รวม (Comprehensive Security)

เพื่อให้การบริหารจัดการความมั่นคงแบบองค์รวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลและกระทรวงกลาโหมต้องกำหนดนโยบายระดับชาติในการบริหารจัดการความมั่นคงแบบองค์รวมผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทั้งในการบริหารความเสี่ยง บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการบูรณาการความร่วมมือ ทั้งยังต้องปรับบทบาทของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในให้เป็นศูนย์กลางในการบูรณาการขีดความสามารถร่วมของประเทศในการรองรับภัยคุกคามและความท้าทายในทุกมิติ รวมทั้งปรับบทบาทและเสริมสร้างขีดความสามารถของศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (Prime Minister’s Operation Center: PMOC) สู่การเป็นศูนย์บัญชาการและควบคุมแห่งชาติ (National War Room) และยกระดับการฝึกการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ (Crisis Management Exercise: C-MEX) สู่ระดับยุทธศาสตร์ เพื่อให้ทุกหน่วยงานเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตนเอง พร้อมปฏิบัติหน้าที่ในการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ อำนวยการ และแก้ไขปัญหา เมื่อเกิดวิกฤติการณ์และสถานการณ์ฉุกเฉินที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติในทุกมิติ