จุดเปลี่ยนที่ 10 “สะสางกฎหมายล้าสมัย”

การสะสางกฎหมาย มีเป้าหมายสำคัญเพื่อให้กฎหมายมีความทันสมัยและสามารถตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคม ช่วยลดความขัดแย้งและความคลุมเครือที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายที่ล้าสมัย และช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น ในช่วงที่ผ่านมา รัฐได้ตรากฎหมายในระดับต่าง  ๆ นับแต่พระราชบัญญัติ กฎหมายรอง กฎกระทรวง ข้อบังคับต่าง  ๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งได้สร้างต้นทุนแฝง สร้างขั้นตอน สร้างความซับซ้อน โดยในเรื่องหนึ่งเรื่อง อาจจะถูกกำกับจากกฎหมายหลากหลายฉบับ ทำให้ประชาชนและธุรกิจมีภาระอย่างยิ่งในการปฏิบัติตามกฎหมาย นอกจากนี้ กฎหมายบางฉบับได้มีการตราและบังคับใช้เป็นเวลามากกว่า 50-60 ปี ซึ่งข้อบังคับบางส่วนได้เริ่มล้าสมัย ไม่สอดรับกับบริบทที่เปลี่ยนไป ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจะต้องเร่งสะสางกฎหมายที่ล้าสมัย เพื่อช่วยสร้างโอกาสและความเสมอภาคในสังคม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่อไป

ปัญหาและความจำเป็นในการสะสางกฎหมาย

เหตุผลสำคัญในการสะสางกฎหมายคือเพื่อให้กฎหมายมีความทันสมัยและสามารถตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคม การสะสางกฎหมายสามารถช่วยลดความขัดแย้งและความคลุมเครือที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายที่ล้าสมัย นอกจากนี้ยังช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น กฎหมายเกี่ยวกับเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตที่เคยมีการบังคับใช้ในอดีตอาจไม่สามารถครอบคลุมถึงปัญหาใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในยุคดิจิทัลได้ อีกทั้งการสะสางกฎหมายยังมีบทบาทในการส่งเสริมความยุติธรรมและความเสมอภาคในสังคม การปรับปรุงกฎหมายให้เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมสามารถช่วยลดการเลือกปฏิบัติและการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ นอกจากนี้ การสะสางกฎหมายยังสามารถส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้เป็นอย่างดี โดยการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมและปลอดภัยสำหรับทุกคน ดังนั้น การสะสางกฎหมายจึงเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างสังคมที่ยุติธรรมและเจริญก้าวหน้า

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับสภาวะ VUCA นั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ การเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม หรือเทคโนโลยี ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อประเทศ การปรับปรุงกฎหมายและการบริหารงานภาครัฐให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญ ปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายจำนวนมากที่บางฉบับถูกบังคับใช้มาเป็นเวลานานทำให้ไม่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การซ้ำซ้อนในเนื้อหาและการบังคับใช้กฎหมายยังเพิ่มภาระให้กับผู้ประกอบการและประชาชน

นอกจากนี้การดำเนินการในแต่ละขั้นตอนมักจะต้องผ่านหลายหน่วยงาน ซึ่งทำให้เกิดความล่าช้าและยุ่งยากกระบวนการนี้จำเป็นต้องถูกปรับปรุงให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การนำเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานของภาครัฐจะเป็นการลดภาระงานและระยะเวลาในการดำเนินการได้มาก

การสะสางกฎหมาย เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการสร้างโอกาสและความเสมอภาคในสังคม รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

การสะสางกฎหมายเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการสร้างโอกาสและความเสมอภาคในสังคม รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมต้องได้รับการปรับปรุงเพื่อให้สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การปรับปรุงกฎหมายยังต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ด้านซึ่งได้กำหนดไว้ในระดับรัฐธรรมนูญและแผนปฏิรูปประเทศ การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถปรับตัวและแข่งขันในสภาวะ VUCA World ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

การสะสางกฎหมายมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงในระดับพลิกโฉมประเทศ โดยมีเป้าหมายหลัก ได้แก่

1) การขจัดอุปสรรคที่เกิดจากกฎหมายที่ล้าสมัยหรือไม่เหมาะสมเพื่อให้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการพัฒนาและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

2) มีระบบการประเมิน ทบทวน ตรวจสอบ ในตราและการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment หรือ RIA) ที่ทันสมัยและสอดคล้องกับความเป็นจริง เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3) มีนโยบายที่ชัดเจนในการแก้ไขปรับปรุงและพัฒนากฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และส่งเสริมการพัฒนาพลังอำนาจแห่งชาติตามยุทธศาสตร์ในแต่ละด้าน เช่น การพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี เป็นต้น

4) การสร้างปัจจัยพื้นฐานและทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนากฎหมายซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ

การมีหน่วยหรือองค์กรหลักรับผิดชอบการส่งเสริมการศึกษาและการวิจัยในด้านกฎหมาย การจัดหาทรัพยากรมนุษย์ที่มีความรู้ความสามารถ ระบบการประเมินผลกระทบในการออกกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment – RIA) ที่มีประสิทธิภาพ และการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนากระบวนการทางกฎหมาย ทั้งนี้ เพื่อให้กฎหมายที่ถูกพัฒนาขึ้นสามารถตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและประเทศได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน

ลักเกณฑ์และขอบเขตของกฎหมายที่ควรได้รับการสะสาง

  1. กฎหมายที่ให้อำนาจรัฐเพื่อสนับสนุนขีดความสามารถทางการแข่งขัน

การพัฒนาประเทศให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ทัดเทียมกับประเทศคู่แข่งในเวทีโลกนั้น ต้องอาศัยการวางโครงสร้างพื้นฐานทางกฎหมายที่เหมาะสม เพื่อให้ภาครัฐสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีกฎหมายที่ชัดเจนและครอบคลุมช่วยให้หน่วยงานของรัฐสามารถดำเนินการตามนโยบายที่วางไว้ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งหรือการขจัดจุดอ่อนที่อาจมีอยู่ในระบบการทำงานของรัฐ

ตัวอย่างเช่น การพัฒนาซอฟท์พาวเวอร์ (Soft Power) ของประเทศซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ถ้าหากไม่มีกฎหมายที่ให้อำนาจหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการเพื่อพัฒนาซอฟท์พาวเวอร์ เช่น การสนับสนุนอุตสาหกรรมบันเทิงหรือวัฒนธรรมท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐก็จะไม่สามารถมีบทบาทในการผลักดันนโยบายที่เกี่ยวข้องได้ ดังนั้น การมีกฎหมายที่ชัดเจนและเหมาะสมจะช่วยให้หน่วยงานของรัฐสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของประเทศ

นอกจากนี้ การพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศยังต้องคำนึงถึงการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมโลกซึ่งการที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความสามารถในการปรับตัวและปรับปรุงกฎหมายอย่างสม่ำเสมอจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประเทศสามารถก้าวไปข้างหน้าและมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ทัดเทียมกับประเทศอื่น  ๆ ในเวทีโลกได้

  1. กฎหมายที่ให้อำนาจกำกับดูแลไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน

หน่วยงานของรัฐมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลกิจการต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสังคม สุขภาวะและเศรษฐกิจของประเทศ กฎหมายหลายฉบับให้อำนาจแก่หน่วยงานเหล่านี้กำกับดูแลกิจการเอกชนอย่างครอบคลุม โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจที่มีความสำคัญ การกำกับดูแลนี้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเป็นธรรมและความปลอดภัยให้กับประชาชน แต่ในขณะเดียวกัน กฎหมายและกฎระเบียบที่ไม่ได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันนั้น อาจกลายเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของธุรกิจ

การที่กฎหมายบางฉบับยังคงมีผลบังคับใช้เหมือนในอดีตทั้งที่สภาพสังคมและเศรษฐกิจแตกต่างไปจากปัจจุบัน ทำให้องค์กรธุรกิจไม่สามารถปรับตัวได้ทันสมัยตามการเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที ส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรธุรกิจเหล่านี้ลดลง โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจในประเทศอื่นที่ไม่มีข้อจำกัดเดียวกัน การขออนุญาตหรือการดำเนินการต่าง ๆ ที่ต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนและเกินความจำเป็นอาจทำให้ธุรกิจเสียเวลาและมีต้นทุนที่ไม่ควรต้องเสีย

ด้วยเหตุดังกล่าว หน่วยงานของรัฐควรพิจารณาปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ เช่น การลดขั้นตอนที่ซับซ้อนและเกินความจำเป็นรวมถึงการพิจารณาเงื่อนไขการขออนุญาตที่ไม่จำเป็น จะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม

  1. กฎหมายที่ให้ดุลพินิจทำให้ขาดความแน่นอนทางกฎหมาย

การให้ดุลพินิจแก่เจ้าหน้าที่รัฐเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการและการกำกับดูแลกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ อย่างไรก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นจากการให้ดุลพินิจที่กว้างเกินไปหรือขาดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนทำให้ผู้ประกอบการขาดความมั่นใจและไม่สามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ได้อย่างแน่นอน ซึ่งส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมายขาดความแน่นอนทางกฎหมาย (Legal Certainty) และอาจนำไปสู่การใช้ดุลพินิจที่ไม่เป็นธรรมและการทุจริต

การพัฒนากลไกและเครื่องมือทางเทคโนโลยีและสารสนเทศเป็นทางออกที่สำคัญในการเพิ่มความโปร่งใสและความแน่นอนในการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ  การนำระบบข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลเข้ามาช่วยในการตัดสินใจจะช่วยให้การใช้ดุลพินิจมีพื้นฐานมาจากข้อมูลที่เป็นจริงและสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งจะลดความเป็นไปได้ของการใช้ดุลพินิจที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยีจะช่วยให้กระบวนการขออนุญาตและการพิจารณาเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การปรับปรุงกฎหมายให้มีความชัดเจนและการกำหนดหลักเกณฑ์ในการใช้ดุลพินิจอย่างถูกต้องเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อเสริมสร้างความแน่นอนทางกฎหมาย นอกจากนี้ การส่งเสริมความรู้และการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่รัฐในการใช้ดุลพินิจอย่างมีหลักเกณฑ์และเป็นธรรมเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้การใช้ดุลพินิจนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีในปัจจุบัน

  1. กฎหมายที่จำเป็นต่อพัฒนาการทางเทคโนโลยีสมัยใหม่

การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาได้ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานและการดำเนินชีวิตของเราทั้งหมด เทคโนโลยีที่สำคัญและมีผลกระทบอย่างมาก เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ เทคโนโลยีชีวภาพและพันธุกรรมได้เข้ามามีบทบาทอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ยังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐผ่านการกำกับดูแลและกฎหมายที่เหมาะสม เพื่อปกป้องสิทธิและความปลอดภัยของบุคคลและสังคมโดยรวม

ในประเทศไทย แม้ว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ จะก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว แต่ธุรกิจและอุตสาหกรรมหลายแห่งยังคงยึดติดกับเทคโนโลยีที่ล้าสมัย ซึ่งอาจทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกลดลง การนำเทคโนโลยีใหม่  ๆ เข้ามาใช้งานจึงเป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องมีกฎหมายที่รองรับเพื่อให้การใช้งานเป็นไปอย่างปลอดภัยและถูกต้องตามหลักการ เช่น การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อพัฒนา AI จำเป็นต้องมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือการใช้ข้อมูลทางชีวภาพและพันธุกรรมก็ควรมีกฎหมายที่ชัดเจนเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิของบุคคล

นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานทางกฎหมายที่เหมาะสมยังช่วยส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในภาคธุรกิจ ทำให้ธุรกิจสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน การมีกรอบกฎหมายที่ชัดเจนและเป็นธรรมยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและผู้ลงทุนในการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและในธุรกิจ

กลไกการทบทวนและบัญญัติกฎหมายที่มีประสิทธิภาพ

การพัฒนากฎหมายในยุคปัจจุบันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในสภาวการณ์ที่เทคโนโลยีและเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กฎหมายหลายฉบับที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งทำให้การดำเนินธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ประสบปัญหาในการปรับตัว นอกจากนี้ การที่กระบวนการบัญญัติกฎหมายมีความซับซ้อนและใช้เวลานาน ยังทำให้การปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยเป็นเรื่องที่ยากลำบาก

หนึ่งในปัญหาหลักคือการที่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบกฎหมายอาจมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องที่รับผิดชอบ แต่ขาดทักษะในการออกแบบโครงสร้างทางกฎหมายที่คำนึงถึงเหตุผลและความจำเป็นในระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปสิ่งนี้ทำให้การออกกฎหมายยังคงยึดติดกับแนวทางการปฏิบัติที่คุ้นเคยและไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบันได้อย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ การที่ไม่มีกลไกที่ชัดเจนในการทบทวนและปรับปรุงกฎหมายที่ไม่ทันสมัย ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญ การมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเป็นผู้รับผิดชอบในการทบทวนหรือยกเลิกกฎหมายเอง อาจทำให้เกิดความขัดแย้งในผลประโยชน์ เนื่องจากหน่วยงานของรัฐเหล่านี้อาจไม่ต้องการลดทอนอำนาจหรือดุลพินิจของตนเอง ดังนั้น การสร้างกลไกที่เป็นกลางและมีประสิทธิภาพในการทบทวนและปรับปรุงกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้กฎหมายสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเศรษฐกิจได้อย่างเหมาะสมและทันสมัย

แนวทางการสะสางกฎหมาย

  1. ความชัดเจนในนโยบายสาธารณะกับการตราและการปรับปรุงกฎหมาย

นโยบายสาธารณะเป็นแนวทางที่รัฐบาลกำหนดขึ้นเพื่อใช้บริหารประเทศที่ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน นโยบายสาธารณะที่ดีเมื่อนำไปปฏิบัติให้เกิดผลก็จะช่วยแก้ไขปัญหาและตอบสนองความต้องการ โดยอาจทำออกมาในรูปของกฎหมาย โครงการ แผนการ เพื่อเป็นหนทางชี้นำให้เกิดการปฏิบัติต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับแนวทางที่ตั้งไว้เพื่อแก้ปัญหา หรือตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้น ในฐานะที่กฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญรูปแบบหนึ่งของนโยบายสาธารณะในการจัดสรรประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม โดยการกำหนดสิทธิ หน้าที่ และความสัมพันธ์ของบุคคลที่อยู่ร่วมกันในสังคม ตลอดจนกำหนดกลไกการระงับข้อพิพาทและยุติข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น ซึ่งในการจัดสรรผลประโยชน์ดังกล่าวเป็นนโยบายสาธารณะที่ต้องคำนึงถึงความสมดุลและความเป็นธรรมในสังคมเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ การผลักดันนโยบายสาธารณะให้เป็นรูปธรรมจะต้องผ่านกระบวนการหนึ่ง ที่เรียกว่า “กระบวนการทางนโยบายสาธารณะ” (Public Policy Process) เริ่มตั้งการออกแบบ การวิเคราะห์ การตัดสินเลือก และขับเคลื่อนหรือดำเนินการตามนโยบายสาธารณะ ยังรวมถึงการติดตามและประเมินผลแนวทางและการปฏิบัติที่ได้ลงมือทำไปแล้วด้วย ดังนั้น กระบวนการทำนโยบายสาธารณะจึงเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาซึ่งอาจจะขึ้นอยู่กับบริบทเฉพาะของพื้นที่หนึ่ง และปัจจัยแวดล้อมทั้งเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ตลอดจนการสนับสนุนให้มีพื้นที่แสดงความคิดเห็น การเข้ามามีส่วนร่วมและท่าทีของผู้มีส่วนได้เสียในนโยบายและตลอดทั้งกระบวนทางนโยบายดังกล่าวด้วย

แต่ที่ผ่านมากระบวนการทางนโยบายสาธารณะของไทยประสบปัญหาหลายประการ เช่น ขาดการวางแผนและดำเนินการอย่างบูรณาการ ขาดเครื่องมือและศักยภาพในการวางแผนและขับเคลื่อนแบบบูรณาการข้ามประเด็น ขาดการขับเคลื่อนหรือปฏิบัติตามที่มีประสิทธิภาพและจริงจัง ขาดความจริงใจในการจัดการกับผลกระทบทางลบที่จะเกิดขึ้นจากนโยบาย ขาดการมีส่วนร่วมโดยเฉพาะในระดับท้องถิ่น และขาดระบบฐานข้อมูล การติดตามตัวชี้วัดที่มีประสิทธิภาพ ทันการณ์ และมีส่วนร่วมในการติดตามของภาคประชาสังคม เป็นต้น

ในขณะที่นโยบายสาธารณะที่อยู่ในรูปของกฎหมาย จึงเป็นกฎเกณฑ์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจน มีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป หน่วยงานรับผิดชอบและผลใช้บังคับทางกฎหมาย รวมทั้งการแก้ไขปรับปรุงได้ยากเพราะมีขั้นตอนตามที่ระบุไว้ตามกฎหมาย อาจกลายเป็นอุปสรรคปัญหาเพราะนโยบายสาธารณะที่อยู่ในรูปของกฎหมายล้าสมัยหรือไม่สอดคล้องกับสถานการณ์หรือบริบทของประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป จนเกิดเป็นปรากฏการณ์กฎหมายและกฎระเบียบที่มากเกินไป จนก่อให้เกิดภาระและผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จนกลายเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ อันเป็นที่มาของแนวความความคิดในการลดกฎหมายหรือกฎระเบียบ (Deregulation) เพื่อลดจำนวนกฎหมายหรือกฎระเบียบที่มีผลต่อการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และพัฒนาต่อมาจนกลายเป็นหลักในมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาให้เป็น “กฎหมายที่ดี” (Better Regulation) ที่เน้นคุณภาพของกฎหมาย เพื่อให้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมและจรรโลงสังคม ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งเสริมให้เกิดความเป็นธรรมและเสมอภาคทางสังคม มากกว่ามุ่งเน้นในการควบคุมซึ่งก่อให้เกิดภาระและต้นทุนในการดำเนินการ อันเป็นที่มาของแนวความคิดในการกำหนดให้มีการวิเคราะห์ผลกระทบในการตรากฎหมาย (RIA) และประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่กำหนดให้มีการพิจารณาทบทวนกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถรองรับการดำเนินนิติสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง  ๆ ตามบริบทของสังคมได้อย่างเหมาะสม

  1. การสร้างปัจจัยพื้นฐานในการสะสางกฎหมาย ให้แก่หน่วยงาน พัฒนาความรู้เจ้าหน้าที่ ระบบการติดตามตรวจสอบ แผนพัฒนากฎหมาย

กระบวนการนโยบายสาธารณะ (Public Policy Process) ในยุคใหม่จำเป็นต้อง “คิดใหม่-ทำใหม่”  ด้วยความรู้ชุดใหม่ที่เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกและพร้อมรับมือกับความท้าทายแห่งอนาคต ตั้งแต่

1) การกำหนดวาระเชิงนโยบาย (Policy Agenda-setting) ด้วยการตั้งโจทย์ที่ “ใช่” ในเรื่องสำคัญต่อชีวิตของผู้คนและสังคม เพื่อสร้างบทสนทนาสาธารณะเกี่ยวกับประเด็นปัญหาและทางเลือกเชิงนโยบาย

2) การกำหนดนโยบาย (Policy Formation) โดยเฉพาะการศึกษาวิจัยเพื่อใช้ความรู้ใหม่และเครื่องมือใหม่เป็นฐานในการออกแบบและจัดทำนโยบาย การมีส่วนร่วมของ  ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างทั่วถึง และการระดมปัญญารวมหมู่ของสังคม เรื่อยไปจนถึง

3) การแปลงนโยบายสู่การปฏิบัติ (Policy Implementation) โดยสร้างหลักประกันว่านโยบายได้รับการบังคับใช้ตรงตามเจตนารมณ์ ตอบโจทย์เรื่องประสิทธิภาพและความยุติธรรมในการดำเนินการบังคับใช้นโยบาย รวมทั้งปรับแก้ปัญหาช่องว่างของนโยบาย และผลพวงที่ไม่ได้ตั้งใจจากนโยบาย (Unintended Consequences) และขั้นตอนสุดท้าย

4) การประเมินผลนโยบาย (Policy Evaluation) กล่าวคือ การออกแบบระบบประเมินผลที่มีคุณค่าความหมายอย่างแท้จริง และส่งผลสะท้อนกลับถึงผู้รับผิดชอบอย่างทันท่วงที เพื่อให้เกิดพลวัตการปรับตัวของนโยบาย ผ่านกลไกการปฏิรูปเชิงสถาบัน เช่น การแก้ไขกฎหมาย และกลไกการแก้ไขปัญหาในระดับปฏิบัติการ

ดังนั้น จึงต้องเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและพัฒนาทักษะบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนโยบายสาธารณะและนักกฎหมายด้วยการฝึกอบรม มุ่งเน้นให้ความสำคัญในการพัฒนานักกฎหมาย 4 ประการ คือ

ประการที่ 1 ด้านกฎหมาย โดยจะต้องพัฒนากฎหมายให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน และการดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 และ การแนวทางการวิเคราะห์ผลกระทบในการตรากฎหมาย (RIA) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน

ประการที่ 2 พัฒนาทักษะด้านกฎหมายเพื่อให้นักกฎหมายมีความรู้ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของนักกฎหมายในการสนับสนุนให้มีกฎหมายที่ดี ลดปัญหาการบังคับใช้กฎหมายและการตีความกฎหมายที่ไม่ถูกต้องตามเจตนารมณ์และบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อลดภาระที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด

ประการที่ 3 ด้านความรู้ โดยพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมนักกฎหมายเพื่อพัฒนาและเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงานของผู้เข้ารับการฝึกอบรม รวมถึงพัฒนาให้เกิดความก้าวหน้าทางด้านวิชาชีพ และประการที่ 4 ด้านคุณธรรม จริยธรรม เพื่อเน้นเสริมสร้างให้นักกฎหมายมีการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมของนักกฎหมายเพื่อเป็นนักกฎหมายที่ดีของประเทศ

  1. การนำระบบและดิจิทัลมาใช้และแนวคิดในการขจัดปัญหาทางกฎหมายต่อการแข่งขันและการพัฒนาประเทศ

เป้าหมายสำคัญประการแรกในการนำภาครัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล คือ การลดความเหลื่อมล้ำ ในการเข้าถึงบริการและสิทธิสวัสดิการของประชาชนด้วยข้อมูลและช่องทางดิจิทัลสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดี

ประการที่สอง สร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ ให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย (SME) ด้วยการบูรณาการกลไกภาครัฐ สนับสนุนให้เกิดการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจผ่านช่องทางดิจิทัล

ประการที่สาม การทำงานของภาครัฐมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ด้วยการปรับปรุงข้อมูลตามกรอบธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ และเปิดเผยแก่ประชาชนผ่านช่องทางดิจิทัล

และประการที่สี่ สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการพัฒนาบริการของภาครัฐ และการกำหนดนโยบายสำคัญของประเทศ ด้วยการเสนอความคิดเห็นด้านนโยบาย หรือประเด็นการพัฒนาประเทศผ่านช่องทางดิจิทัล

ดังนั้น นโยบายรัฐบาลดิจิทัลจึงเป็นการพลิกเปลี่ยนจาก “รัฐอุปสรรค” เป็น “รัฐสนับสนุน” เพื่อปลดล็อคศักยภาพของประชาชนและผู้ประกอบการให้เป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปด้วยกันและในขณะเดียวกันคือลดช่องทางการคอรัปชั่น เช่น การสร้าง One Stop Service สำหรับการให้บริการภาครัฐ การขออนุญาต อนุมัติต่างๆ จะต้องง่ายสะดวกอยู่ในแพลตฟอร์มเดียว และยังลดดุลพินิจเจ้าหน้าที่และสร้างกฎเกณฑ์ชัดเจนโดยใช้ระบบอัตโนมัติ กำหนดระยะเวลาในการอนุมัติให้แน่นอน เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และตัดปัญหาการเตะถ่วงและปิดช่องการเรียกเก็บค่าอนุมัติ เพื่อลดโอกาสในการคอร์รัปชัน นอกจากนี้  เป็นการสร้างระบบ Open Government คือ การจัดให้มี “ข้อมูลเปิด” ให้บริการในเว็บไซต์ของหน่วยงาน เพื่อให้ผู้ใช้บริการทั้งภาคประชาชน ภาคธุรกิจเอกชน และหน่วยงานของรัฐ สามารถค้นหาและเข้าถึงข้อมูลที่มีคุณภาพของภาครัฐได้ง่าย โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อส่งเสริมให้เกิดธรรมาภิบาล  ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือของภาครัฐ และสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน รวมถึงแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันการเมืองและเศรษฐกิจอย่างบูรณาการร่วมกัน

ดังนั้น นโยบายรัฐบาลดิจิทัลจึงสามารถช่วยลดอุปสรรคทางกฎหมายที่เคยเป็นปัญหาหรืออุปสรรคจากการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่หรือกระบวนทำงานที่ล่าช้าได้ เพิ่มความโปร่งใสของหน่วยงานรัฐบาล รวมทั้งลดการทุจริตคอร์รัปชันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. การมีกฎหมายเท่าที่จำเป็น และเครื่องมือในการตรวจสอบความจำเป็นในการออกกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย

กฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ถูกนำมาใช้ในการขับเคลื่อนและผลักดันนโยบายของรัฐบาล แต่โดยที่การออกกฎหมายย่อมมีผลกระทบเป็นวงกว้างต่อประโยชน์ของชาติและความมั่นคงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สังคม ความอยู่ดีมีสุขของประชาชน ทัศนคติ ตลอดจนความเชื่อมั่นและความศรัทธาของประชาชน อีกทั้งมาตรการต่าง  ๆ ที่กำหนดในกฎหมายทั้งที่เป็นการส่งเสริม สนับสนุน ให้สิทธิประโยชน์ และที่เป็นการกำกับดูแล ควบคุม การบังคับการ บทลงโทษ ย่อมมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และเป็นภาระของผู้ที่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมาย การที่รัฐจะออกกฎหมายใดจึงต้องพิจารณาความจำเป็นที่ต้องมีกฎหมายนั้น ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้กำหนดไว้เป็นแนวนโยบายแห่งรัฐในมาตรา 77 ให้รัฐจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพ โดยไม่ชักช้าเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน

ในการตรวจสอบความจำเป็นของกฎหมายซึ่งรวมถึงความเหมาะสมของกลไกที่จะใช้บังคับแก่ประชาชน ได้มีพัฒนาการเรื่อยมาจนนำมาสู่พระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ซึ่งมีหลักการที่สำคัญ คือ การตรวจสอบความจำเป็นในการออกกฎหมายอันเป็นขั้นตอนในชั้นการจัดทำร่างกฎหมายที่จะออกมาใช้บังคับ และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายซึ่งเป็นขั้นตอนภายหลังที่กฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว รวมทั้งความเหมาะสมในเนื้อหาของกฎหมายโดยได้มีการกำหนดเป้าหมาย ขั้นตอน หลักเกณฑ์ และวิธีการดำเนินการต่าง  ๆ ให้หน่วยงานของรัฐนำไปปฏิบัติเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ให้มีกฎหมายเท่าที่จำเป็น (Less Regulation) และเป็นกฎหมายที่ดีเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น (Better Regulation for Better Life) ไม่สร้างภาระต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพ ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรม และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

การวิเคราะห์ผลกระทบในการออกกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment – RIA) เป็นเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้การตรวจสอบความจำเป็นในการออกกฎหมาย โดยมีการคำนวณต้นทุนและประโยชน์ที่จะได้รับ (Cost and Benefit) จากการออกกฎหมายรวมทั้งการและประเมินผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการออกกฎหมายเพื่อตัดสินใจว่าจะออกกฎหมายหรือจะใช้ทางเลือกอื่นที่มีประสิทธิภาพแทนการออกกฎหมายทำให้มีการกลั่นกรองการออกกฎหมายเท่าที่จำเป็น นอกจากนั้น ได้มีการนำ RIA ไปใช้ในการทบทวนกฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่เพื่อตรวจสอบว่ายังคงมีความสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม หรือสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงไป หรือสมควรจะแก้ไขเพิ่มเติม หรือยกเลิกหากกฎหมายนั้นหมดความจำเป็น ล้าสมัย หรือเป็นภาระแก่ประชาชน

อย่างไรก็ตาม กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันยังคงมีปัญหาทั้งในเรื่องความจำเป็นในการมีกฎหมายและความเหมาะสมของเนื้อหากฎหมาย ดังนี้

  1. การวิเคราะห์ผลกระทบและการจัดทำรายงานผลกระทบของกฎหมาย (RIA) ไม่ครอบคลุมผลกระทบอย่างรอบด้าน ข้อมูลที่นำมาใช้ประกอบการวิเคราะห์ไม่เพียงพอและไม่ครบถ้วน ขาดเครื่องมือในการวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพ เจ้าหน้าที่ที่ขาดความรู้ความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ข้อมูลและประเมินผลกระทบในมิติด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม สิ่งแวดล้อม ซึ่งนอกเหนือไปจากมิติด้านนิติศาสตร์ ผู้เข้าร่วมประชุมได้รับโอกาสและระยะเวลาในการแสดงความคิดเห็นไม่เพียงพอ ข้อมูลที่นำมาเสนอไม่ครบถ้วนรอบด้าน ขาดเนื้อหาสาระสำคัญ และที่สำคัญ คือ หน่วยงานของรัฐไม่ได้นำความคิดเห็นที่ได้รับมาพิจารณาเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดจากร่างกฎหมายนั้นอย่าง จริงจังส่งผลกระทบต่อคุณภาพของกฎหมาย
  2. การขาดความจริงจังในการดำเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกกฎหมายตามการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กล่าวคือ แม้หน่วยงานของรัฐที่ทำการประเมินกฎหมายในความรับผิดชอบเห็นสมควรมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย และสมควรยกเลิกกฎหมาย แต่มีกฎหมายเพียงส่วนน้อยที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิก โดยส่วนใหญ่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการของหน่วยงานเจ้าของเรื่องซึ่งเป็นระยะเวลานานแล้ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อเป้าหมายที่จะสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
  3. การใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่โดยไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเหมาะสม

Game Changers
เพื่อ “สะสางกฎหมายล้าสมัย”

ข้อเสนอที่ 1: จัดให้มีเครื่องมือหรือโปรแกรมที่ใช้ในการจัดทำ RIA เช่น เกณฑ์การคำนวณ Cost and Benefit โดยต้องง่ายและสะดวกต่อการใช้งาน เพื่อสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานในการจัดทำร่างกฎหมายหรือประเมินผลกระทบของกฎหมาย

ข้อเสนอที่ 2: จัดให้มีฐานข้อมูล RIA เพื่อให้เป็นฐานข้อมูลกลางที่จะจัดเก็บ รวบรวม แลกเปลี่ยน และเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้ในการวิเคราะห์ ผลกระทบและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย รวมทั้งเพื่อเป็นแหล่งรวบรวมเครื่องมือหรือโปรแกรมการประเมินผลกระทบของกฎหมาย

ข้อเสนอที่ 3: กำหนดมาตรการในการกำกับและติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐเพื่อผลักดันและเร่งรัดให้มีการทบทวนเนื้อหาของกฎหมาย รวมทั้งการดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกกฎหมายตามผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย เช่น การกำหนดเป็นตัวชี้วัดของหน่วยงาน หรือการกำหนดให้อำนาจหน่วยงานกลางในการกำกับ ติดตาม และสั่งการเพื่อให้มีการดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย เนื่องจากพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายฯ กำหนดว่าหากการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายใดปรากฏว่ากฎหมายนั้นไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการออกกฎหมาย ไม่คุ้มค่ากับภาระที่เกิดกับประชาชน หรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ประชนอย่างร้ายแรง ให้แก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกกฎหมายนั้นโดยทันที แต่ไม่มีบทบัญญัติกำหนดมาตรการบังคับเพื่อให้หน่วยงานดำเนินการ

ข้อเสนอที่ 4: เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังในชั้นการจัดทำร่างกฎหมาย เพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการออก แก้ไขเพิ่มเติม หรือกเลิกกฎหมาย รวมทั้งสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาจัดทำหรือทบทวนกฎหมาย

ข้อเสนอที่ 5: สร้างความตระหนักรู้ของเจ้าหน้าที่รัฐในการให้ความสำคัญกับการรับฟังความคิดเห็นของผู้ได้รับหรืออาจได้รับผลกระทบของกฎหมาย การจัดทำ RIA การวิเคราะห์ผลกระทบและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายโดยการจัดการอบรมให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ

ข้อเสนอที่ 6: รัฐบาลและผู้บริหารของหน่วยงานของรัฐต้องให้ความสำคัญในการตรวจสอบความจำเป็นในการออกกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดกระแสขับเคลื่อนที่รุนแรง (Impact) ในการรับมาปฏิบัติและดำเนินการ นำไปสู่ความก้าวหน้าและความสำเร็จในการชำระสะสางกฎหมาย ดังตัวอย่างในหลายประเทศ ซึ่งที่ชัดเจน คือ สาธารณรัฐเกาหลี

ข้อเสนอที่ 7: มีหน่วยงานกลางตรวจสอบคุณภาพของการจัดทำ RIA และการสร้างความพร้อมให้แก่หน่วยงานและผู้รับผิดชอบกฎหมาย โดยที่ RIA มีความสำคัญต่อการตรวจสอบความจำเป็นและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจในการออกกฎหมาย และการแก้ไขเพิ่มเติมหรือการยกเลิกกฎหมายหมดความจำเป็นล้าสมัย หรือเป็นภาระแก่ประชาชน

อย่างไรก็ตาม รายงาน RIA ที่หน่วยงานของรัฐเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำแม้จะมีรูปแบบที่รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 แต่ยังมีปัญหาในด้านคุณภาพ เนื่องจากเป็นการอธิบายอย่างกว้างโดยไม่มีรายละเอียดเชิงลึกขาดการนำเสนอและวิเคราะห์ทางเลือกอื่นนอกจากการออกกฎหมายไม่ปรากฏรายละเอียดการรับฟังความคิดเห็นและการนำความคิดเห็นมาประกอบการพิจารณาไม่มีการประเมินผลกระทบทางบวกและทางลบโดยการวิเคราะห์เชิงปริมาณ ฯลฯ สมควรจะมีการตรวจสอบคุณภาพของการจัดทำ RIA

อย่างไรก็ตาม โดยที่ในปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการจัดทำรายงาน RIA คือ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีซึ่งไม่มีผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านการวิเคราะห์ผลกระทบในการออกกฎหมายจึงไม่อาจตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนในการจัดทำ RIA ได้ คงเป็นเพียงการตรวจสอบความครบถ้วนสอดคล้องของเนื้อหาตามหัวข้อรายงาน RIA และให้ความคิดเห็นหรือข้อสังเกตเท่านั้น สมควรที่จะมีการจัดตั้งหน่วยงานกลางขึ้นเพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบคุณภาพในการจัดทำ RIA ของหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง โดยมีบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล การประเมินต้นทุนและผลกระทบ (Cost and Benefit) วิธีการและสูตรในการคำนวณ เป็นต้น รวมทั้งกำกับดูแลและติดตามการแก้ไขปรับปรุงรายงาน RIA ของหน่วยงานเจ้าของเรื่อง

นอกจากนั้น โดยที่ในการตรวจสอบรายงาน RIA เป็นผลโดยตรงต่อการวิเคราะห์ความจำเป็นในการออกกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย หน่วยงานนี้จึงควรมีบทบาทในการชำระสะสางกฎหมาย (ปฏิรูปกฎหมาย) โดยการนำเสนอการทบทวนการออกกฎหมาย ทั้งที่เป็นการออกกฎหมายใหม่ และแก้ไขปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคหรือภาระต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพของประชาชน รวมไปถึงการเสนอนโยบายและแผนการชำระสะสางกฎหมายเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนและผลักดันนโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจนการพัฒนาหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการทำ RIA การฝึกอบรมและให้ความรู้และคำแนะนำแก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐเพื่อให้สามารถจัดทำรายงาน RIA ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ การมีหน่วยงานกลางเพื่อตรวจสอบคุณภาพในการจัดทำ RIA เป็นกลไกที่มีอยู่ในประเทศต่าง  ๆ เช่น สาธารณรัฐเกาหลี มาเลเซีย ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร นิวซีแลนด์ เป็นต้น ในการนี้ ควรเปิดโอกาสให้การเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังในหน่วยงานกลางดังกล่าว โดยอาจเป็นกรรมการในคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นภายในหน่วยงานเพื่อของแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตรา แก้ไขเพิ่มเติม หรือยกเลิกกฎหมาย รวมทั้งสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎหมาย

เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาจัดทำหรือทบทวนกฎหมาย ทั้งนี้ ควรมีสัดส่วนของกรรมการจากภาคเอกชนที่เหมาะสม โดยในกรณีเกาหลีใต้ คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (Regulatory Reform Committee) จำนวน 23 คน ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการร่วม ประธานกรรมการร่วมจากภาคเอกชน กรรมการจากภาคเอกชน 14 คน และกรรมการจากภาครัฐ 7 คน แสดงถึงการให้ความสำคัญกับการตรวจสอบความจำเป็นและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย นอกจากนั้น ยังมีภาคเอกชนที่สนับสนุนหน่วยงานของรัฐในการปฏิรูปกฎหมาย เช่น สถาบันรัฐประศาสนศาสตร์แห่งเกาหลี (Korea Institute of Public Administration) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการตรวจสอบรายงาน RIA จากนโยบายด้านสังคม และสถาบันพัฒนาแห่งเกาหลี (Korea Development Institute) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการตรวจสอบรายงาน RIA จากนโยบายด้านสังคม

บทสรุป-ข้อเสนอในการนำไปสู่การดำเนินการ

การจัดทำแผนดำเนินการสะสางกฎหมายระยะ 5 ปี ดังนี้

ระยะสั้น (ปีที่ 1)  ประเด็นการดำเนินการ

  • การจัดให้มีกิโยตินกฎหมาย โดยรัฐบาลต้องกำหนดนโยบายที่ชัดเจนและกลุ่มกฎหมายที่อยู่ในขอบเขตการดำเนินการ
  • ให้มีภาคเอกชนเข้าร่วมในการดำเนินการ
  • มีแผนการดำเนินการ ระยะเวลา หน่วยงานที่รับผิดชอบ ตัวชี้วัด และการติดตามผลที่ชัดเจน ทั้งนี้ ควรให้ความสำคัญกับการกิโยตินกฎหมายอนุบัญญัติเป็นลำดับแรก ๆ
  • การเปลี่ยนวิธีคิด สร้างความตระหนักรู้ของเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวกับการมีกฎหมายเท่าที่จำเป็น ให้ความสำคัญกับการรับฟังความคิดเห็น ทั้งในการรวบรวมและการนำไปใช้ประกอบการประเมินผลกระทบและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
  • การกำหนดโครงสร้างของฐานข้อมูล RIA เพื่อให้เป็นฐานข้อมูลกลางที่จะจัดเก็บ รวบรวม แลกเปลี่ยน และเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐ เพื่อประโยชน์ในการนำไปใช้ในการวิเคราะห์ ผลกระทบของกฎหมายและเพื่อเป็นแหล่งรวบรวมเครื่องมือ/โปรแกรมการประเมินผลกระทบของกฎหมายในด้ายต่าง  ๆ เช่น การวิเคราะห์ Cost and Benefit

ระยะกลาง (ปีที่ 2 ถึงปีที่ 4)

  • การสร้างบุคลากรที่มีความรู้ในการร่างกฎหมายในหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ
  • การพัฒนาแนวทาง/รูปแบบของการร่างกฎหมายที่มีความยืดหยุ่นเพื่อรองรับ ความเปลี่ยนแปลง VUCA World
  • การดำเนินการเพื่อจัดทำฐานข้อมูล RIA และการนำข้อมูลลงในฐานข้อมูล
  • การทบทวนความเหมาะสมและเพียงพอของมาตรการตรวจสอบความจำเป็นในการออกกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562
  • การมีองค์กรกลางตรวจสอบครบถ้วนถูกต้องในการทำ RIA และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
  • การกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องมีส่วนงานที่รับผิดชอบในการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
  • การกำหนดให้มีแผนนิติบัญญัติรายปี โดยทุกหน่วยงานต้องเสนอรายชื่อและหลักการของร่างกฎหมายล่วงหน้า ซึ่งจะทำให้มีการจัดทำกฎหมายที่พร้อมรับมือ/ก้าวสกัดกับความเปลี่ยนแปลง หรือการสนองตอบนโยบายของรัฐบาล

ระยะยาว (ปีที่ 5 เป็นต้นไป)

  • การทบทวนและพัฒนาเกณฑ์การทำ RIA ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
  • ฐานข้อมูล RIA แล้วเสร็จ พร้อมใช้งานเต็มรูปแบบ
  • การประสานงานระหว่างองค์กรและหน่วยงานที่รับผิดชอบ/ที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนการจัดทำและการมีกฎหมายที่มีคุณภาพ

การปฏิรูปกฎหมายของเกาหลีใต้

การปฏิรูปกฎหมายของเกาหลีใต้ในช่วงปลายปี 2540 เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินในเอเชีย (Asian Financial Crisis) เพื่อรักษาเสถียรภาพและฟื้นฟูเศรษฐกิจ รัฐบาลเกาหลีใต้ได้เริ่มดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน รวมถึงการปฏิรูปกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในยุคโลกาภิวัตน์

แผนการปฏิรูปกฎหมายปี 2541 มีจุดมุ่งหมายในการแก้ไขและยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัยหรือขัดขวางการเติบโตของตลาดเสรี รัฐบาลนำแนวทาง “จากบนลงล่าง” มาใช้ โดยมีประธานาธิบดี คิม แด-จุง เป็นผู้ริเริ่มและสั่งการให้กระทรวงต่าง ๆ ตรวจสอบและลดจำนวนกฎหมายลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของกฎหมายที่มีอยู่เดิม การลดจำนวนกฎหมายครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการลดภาระทางกฎหมาย แต่ยังช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ

นอกจากการลดจำนวนกฎหมายที่ไม่จำเป็นแล้ว การปฏิรูปยังมุ่งเน้นไปที่การสร้างระบบสถาบันที่มีความยั่งยืน หนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการกำกับดูแล (Regulatory Reform Committee: RRC) ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการกำกับดูแลกระบวนการปฏิรูป ตรวจสอบคุณภาพกฎหมายใหม่ที่ถูกเสนอ และประกันว่าการปฏิรูปเป็นไปอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ RRC ยังทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างรัฐบาลและภาคธุรกิจ เพื่อให้การกำกับดูแลเป็นไปตามมาตรฐานสากลและไม่ขัดขวางการดำเนินธุรกิจ

การบูรณาการแนวคิด “กิโยตินกฎหมาย” (Regulatory Guillotine) เข้ามาในกระบวนการปฏิรูปนี้เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่สำคัญ โดย “กิโยตินกฎหมาย” หมายถึงการตรวจสอบกฎหมายทุกฉบับอย่างละเอียดและยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่จำเป็น หรือสร้างภาระให้กับภาคธุรกิจ ซึ่งเป็นแนวทางที่คล้ายคลึงกับการปฏิรูปกฎระเบียบในประเทศเม็กซิโก การบูรณาการนี้ทำให้กระบวนการปฏิรูปกฎหมายของเกาหลีใต้มีความมั่นคงและต่อเนื่อง โดยถูกฝังอยู่ในกลยุทธ์การปฏิรูปกฎระเบียบที่ครอบคลุมทั้งระบบ ไม่ใช่เพียงการปรับปรุงกฎหมายแต่ละฉบับแยกกัน

ผลลัพธ์ของการปฏิรูป ในช่วงหลายปีต่อมา เกาหลีใต้ได้พัฒนากฎหมายและระบบกำกับดูแลที่ทันสมัย สามารถสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการกำกับดูแลที่โปร่งใสและมีความน่าเชื่อถือสูงในระดับโลก

การส่งเสริม Soft Power ของเกาหลีใต้

ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2533 รัฐบาลเกาหลีใต้ภายใต้การนำของประธานาธิบดีคิม แด-จุง มองเห็นโอกาสในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศโดยการลงทุนในอุตสาหกรรมบันเทิง ที่กำลังเติบโตและได้รับความนิยมในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เช่น ญี่ปุ่นและจีน ด้วยความเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมบันเทิงสามารถเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายอิทธิพลทางวัฒนธรรมและส่งเสริมเศรษฐกิจ

นโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมบันเทิงของเกาหลีใต้:

  1. การสนับสนุนทางการเงิน
    • ช่วงต้นปี 2533: รัฐบาลเริ่มส่งเสริมอุตสาหกรรมบันเทิงโดยการลดต้นทุนการผลิตละครเกาหลี ซึ่งทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงและสามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้มากขึ้น
    • ปี 2537: รัฐบาลจัดสรรงบประมาณ 5,400 ล้านวอน (ประมาณ 140 ล้านบาท) สำหรับการส่งเสริมอุตสาหกรรมบันเทิง โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนด้านการผลิตและการส่งออกสื่อบันเทิง
    • ปี 2542: งบประมาณเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ล้านวอน (ประมาณ 2,600 ล้านบาท) เนื่องจากเห็นถึงความสำเร็จและความสำคัญของอุตสาหกรรมบันเทิงในเศรษฐกิจ
    • ปี 2547: งบประมาณเพิ่มขึ้นเป็น 175,200 ล้านวอน (ประมาณ 4,500 ล้านบาท) เพื่อขยายการสนับสนุนให้ครอบคลุมกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การตลาด การฝึกอบรมบุคลากร และการพัฒนาผลิตภัณฑ์
    • ปี 2550: งบประมาณเพิ่มเป็น 197,700 ล้านวอน (ประมาณ 5,100 ล้านบาท) เพื่อตอบสนองต่อการเติบโตที่รวดเร็วและความต้องการการสนับสนุนที่มากขึ้นในระดับสากล
    • ปี 2555: งบประมาณสูงถึง 249,100 ล้านวอน (ประมาณ 6,400 ล้านบาท) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมบันเทิงอย่างต่อเนื่องและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
  2. การส่งออกเนื้อหาด้านการบันเทิง
    • การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องทำให้การส่งออกเนื้อหาบันเทิงของเกาหลีใต้เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเพลงและวิดีโอคอนเทนต์ของศิลปินเกาหลี ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในระดับสากล
    • การเติบโตของ K-Pop: ศิลปินเกาหลีใต้ เช่น BTS ได้สร้างปรากฏการณ์ K-Pop ที่ข้ามพรมแดนและได้รับความนิยมทั่วโลก BTS ไม่เพียงแต่สร้างรายได้จากการจำหน่ายอัลบั้มและการจัดคอนเสิร์ต แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
    • ปี 2562: BTS สร้างรายได้ให้กับประเทศประมาณ 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ผ่านการขายอัลบั้ม การจัดคอนเสิร์ต และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
    • ผลกระทบจากการท่องเที่ยว: จากแบบสอบถามในปี 2560 พบว่า ประมาณร้อยละ 7 ของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเกาหลีใต้ (หรือประมาณ 800,000 คน) มาที่เกาหลีใต้เนื่องจากความนิยมในวง BTS

ผลลัพธ์และความสำเร็จ:

  1. การสร้าง Soft Power
    • การสนับสนุนอุตสาหกรรมบันเทิงทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก
    • การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเป็นที่รู้จักในระดับสากลผ่านเนื้อหาบันเทิงที่มีคุณภาพ ทำให้เกาหลีใต้ได้รับการยอมรับในฐานะประเทศที่มีอิทธิพลทางวัฒนธรรม
  2. การพัฒนาเศรษฐกิจ
    • การส่งออกเนื้อหาบันเทิงที่เติบโตอย่างรวดเร็วช่วยเพิ่มรายได้ให้กับประเทศและสร้างงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น การผลิตเพลงและภาพยนตร์ การจัดคอนเสิร์ต และการตลาด
    • การเติบโตของอุตสาหกรรมบันเทิงยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นผ่านการลงทุนและการสร้างงานใหม่

การส่งเสริม Soft Power ผ่านอุตสาหกรรมบันเทิงของเกาหลีใต้เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของการใช้วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเสริมสร้างอิทธิพลในระดับโลก โดยการลงทุนอย่างต่อเนื่องและการสนับสนุนจากรัฐบาลได้ทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการส่งออกวัฒนธรรมในยุคปัจจุบัน