ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ปัญหาโลกร้อนและโลกเดือด (Global Warming/Global Boiling) ได้นำมาสู่วิกฤตความผันผวนของสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ก่อให้เกิดภัยพิบัติในหลากหลายรูปแบบ เช่น อุณภูมิสูงผิดปกติจนนำไปสู่ภาวะแห้งแล้ง ฝนตกในปริมาณมากกว่าปกติทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลัน พายุไต้ฝุ่นที่รุนแรงเป็นพิเศษพายุทอร์นาโดในหลายพื้นที่ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในมหาสมุทร ที่กระทบระบบนิเวศและชีวิตสัตว์น้ำประเภทต่าง ๆ ที่ต้องปรับเปลี่ยนวงจรชีวิต ปรับเปลี่ยนที่อยู่อาศัยแหล่งเพาะพันธ์ ด้วยเหตุนี้ นานาประเทศจึงได้เริ่มเอาจริงเรื่องการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ เร่งกดดันประเทศต่าง ๆ ให้ดำเนินการตามแนวทางที่ตกลงกันไว้ นำมาซึ่งความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องมุ่งไปสู่การเป็น Green Thailand และ Low Carbon Economy ต่อไป
ปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อประชากรโลกได้นำมาสู่ความพยายามของนานาประเทศเพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาในหลายๆ ระดับ หลายๆ มิติ และนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ความตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่ประเทศภาคีจะต้องพยายามจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในศตวรรษนี้ ให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม และพยายามรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส อันนำไปสู่การประกาศเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero ในระดับประเทศ ระดับองค์กร และบริษัทเอกชน ในช่วงที่ผ่านมา
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ประเทศในกลุ่มพัฒนาแล้ว เช่น สหภาพยุโรปได้ตัดสินใจดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อกดดันให้ประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนา ที่เป็นจุดสร้างและปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้ต้องเร่งปรับตัวเพิ่มเติม โดยได้ประกาศนโยบาย Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ที่จะเริ่มใช้ในต้นปี 2569 โดยเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากบริษัทนำเข้าในกลุ่มประเทศตนเอง สำหรับการนำเข้าสินค้าที่ผลิตและมีการปล่อยคาร์บอนออกมาในปริมาณที่มากกว่าที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ ประเทศสหรัฐ อังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลีย กำลังพิจารณาที่จะออกมาตรการในลักษณะเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อผู้ผลิตในประเทศต่าง ๆ และนำมาซึ่งการปรับตัวครั้งใหญ่ของระบบเศรษฐกิจโลก
เนื่องจากความพยายามเรื่องการแก้ไขปัญหาโลกร้อน ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังจากทุกฝ่าย ทุกประเทศ และต้องอาศัยระยะเวลา จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะพลาดจากเป้าหมายที่ทุกฝ่ายได้ตกลงกันไว้ อันจะนำมาซึ่งมาตรการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรอบใหม่ที่จะเข้มงวดยิ่งขึ้นจากเดิม และท้ายสุดจะกดดันให้ทุกประเทศและผู้ประกอบการในประเทศต่าง ๆ ต้องดำเนินการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ เพื่อก้าวไปสู่โลกการผลิตใหม่ ที่เรียกกันว่า “เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ” หรือ “Low Carbon Economy”

เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ คือ รูปแบบเศรษฐกิจที่ประกอบด้วยกิจกรรมที่ใช้พลังงานต่ำและปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ ซึ่งการเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจในรูปแบบปัจจุบันที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนในหลายกิจกรรมและภาคส่วน โดยประการแรก คือ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างพลังงานไปสู่พลังงานสะอาด (Green Energy) โดยการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน (Renewable Energy) ในการผลิตไฟฟ้า เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานน้ำ เป็นต้น พร้อมทั้งการปรับลดจนไปถึงการยุติการใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกสูงในการผลิตไฟฟ้า
ประการที่สอง การลดก๊าซเรือนกระจกในภาคการผลิตและบริการ โดยถือเป็นส่วนสำคัญในการสร้างรายได้และความเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ ทั้งนี้ สามารถจำแนกภาคการผลิตออกเป็นภาคอุตสาหกรรมผลิตสินค้าและภาคการเกษตร โดยการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมการผลิตสามารถทำได้ ด้วยการปรับกระบวนการผลิตให้ปล่อยคาร์บอนต่ำตลอดห่วงโซ่อุปทาน เช่น การใช้แหล่งพลังงานสะอาด และใช้เทคโนโลยีในการควบคุมและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น ซึ่งการปรับกระบวนการผลิตเหล่านี้ จะช่วยให้ธุรกิจสามารถรับมือกับมาตรการด้านคาร์บอนในการค้าระหว่างประเทศ อย่างเช่น มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป ได้ขณะเดียวกัน ภาคการเกษตรซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเฉพาะก๊าซมีเทนจากกิจกรรมการกำจัดซากพืชหลังการเก็บเกี่ยว เช่น กลุ่มเกษตรกรทำนาข้าวกำจัดตอซังข้าวให้ย่อยสลายโดยการขังน้ำในแปลง ซึ่งวิธีการแก้ไขคือปรับวิธีการเพาะปลูกให้เป็นการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง และการเปลี่ยนวิธีการจัดการตอซังข้าว รวมถึงการเผยแพร่ชุดความรู้และแนวทางการเพาะปลูกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับกลุ่มเกษตรกร
ส่วนภาคการบริการ การท่องเที่ยวถือเป็นหนึ่งในภาคบริการที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศไทยและมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน กิจกรรมที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกในภาคการท่องเที่ยว ได้แก่ การเดินทางโดยใช้ยานพาหนะ และการใช้ทรัพยากรผ่านการบริโภคโดยนักท่องเที่ยว ซึ่งการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ (Ecotourism) และการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Tourism) ได้รับการสนับสนุนในฐานะการท่องเที่ยวที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านการชื่นชมธรรมชาติและก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกต่ำ อีกทั้งยังได้สัมผัสวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่นในฐานะผลพลอยได้
ประการที่สาม การปรับเปลี่ยนในระดับครัวเรือนและองค์กร ซึ่งมีส่วนส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกระดับประเทศได้เช่นกัน โดยเริ่มจากการปรับกิจกรรมและสิ่งที่บริโภคในชีวิตประจำวัน เช่น การเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) การติดตั้งโซล่าร์บนหลังคาอาคารเพื่อใช้พลังงานทดแทน การใช้เทคโนโลยีในการติดตามและควบคุมการใช้พลังงานภายในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดการสูญเสียพลังงานอย่างไม่จำเป็น รวมถึงการสร้างอาคารโดยใช้วัสดุที่ผ่านกระบวนการผลิตแบบคาร์บอนต่ำหรือการใช้ไม้ที่มีคุณสมบัติในการกักเก็บคาร์บอน
“ถ้าธุรกิจไทยสามารถปรับตัวไปสู่ Low Carbon Economy ได้ก่อนคู่แข่ง จะเป็นข้อได้เปรียบอย่างยิ่งในการค้าระหว่างประเทศ ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า”
จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรงและมาตรการด้านคาร์บอนของประเทศต่าง ๆ ที่พยายามตอบสนองต่อปัญหาดังกล่าว การปรับตัวและเปลี่ยนผ่านของไทยไปสู่ Green Thailand และ Low Carbon Economy หรือเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ ถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ โดยหากเราปรับตัวได้ก่อนประเทศอื่น ๆ หรือปรับตัวได้ก่อนบริษัทคู่แข่ง ก็จะเป็นความได้เปรียบในการดำรงอยู่ท่ามกลางระเบียบโลกที่เข้มงวดในเรื่องมาตรการด้านก๊าซเรือนกระจกและสิ่งแวดล้อม ส่วนประเทศที่ไม่เริ่มดำเนินการปรับตัวโดยเร็ว ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายด้านการลดก๊าซเรือนกระจก ท้ายสุด ก็จะสูญเสียขีดความสามารถและโอกาสในการแข่งขันในระดับนานาชาติ
Game Changers
เพื่อมุ่งสู่ “Green Thailand”
ข้อเสนอที่ 1: ปรับเปลี่ยนโครงสร้างพลังงานของไทยไปสู่พลังงานสะอาด (Green Energy) การขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่การใช้พลังงานสะอาดในอนาคต นับเป็นเรื่องที่จะส่งผลดีต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางระยะยาวเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทย มีดังนี้
1) เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน (Renewable Energy) ในการผลิตไฟฟ้า RE อย่างน้อย 68% ในปี 2583 และ 74% ในปี 2593
2) ส่งเสริมการผลิตและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เพิ่มสัดส่วนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า EV 69% ในปี 2578
3) ยุติการใช้ถ่านหิน (Phase out coal) ในปี 2593
4) ใช้เทคโนโลยี Carbon Capture Utilization and Storage (CCUS) และใช้พลังงานไฮโดรเจน (H2) ในภาคขนส่ง และอุตสาหกรรม ในปี 2588 และ
5) พัฒนานวัตกรรมด้านนโยบายและเทคโนโลยีส่งเสริมประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy Efficiency) EE มากกว่า 30% ในปี 2580 (รูปที่ 24)

เพื่อให้สอดคล้องกับแผนระยะยาวมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทย หรือ Thailand’s Long-term GHG Emission Development Strategy (LT LEDS) ที่ประเทศไทย โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดทำแผนระยะยาวขึ้น และจัดส่งไปยังสำนักเลขาธิการกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้ว
ข้อเสนอที่ 2: ใช้มาตรการ Carbon Pricing กำหนดราคาคาร์บอน ปัจจุบันมาตรการ “กำหนดราคาคาร์บอน” Carbon Pricing ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมี 4 รูปแบบ คือ
1) มาตรการภาคบังคับ จำกัดสิทธิ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme: ETS) โดยตลาดเป็นผู้กำหนดราคาคาร์บอนภาคบังคับ คือ Allowance
2) มาตรการภาคบังคับภาษี คาร์บอน โดยรัฐเป็นผู้กำหนดราคาคาร์บอนภาคบังคับ
3) มาตรการภาคสมัครใจคาร์บอนเครดิต (Voluntary Carbon Credit) ซึ่งตลาดเป็นผู้กำหนดราคาคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ และ
4) มาตรการภาคสมัครใจการกำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร (Internal Carbon Pricing: ICP)
ประเทศไทยสามารถมีนโยบายเชิงรุกกำหนดรูปแบบกลไกราคาคาร์บอนภาคบังคับในรูปแบบ ETS ได้ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อยู่ระหว่างเสนอร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. ที่วางแผนการใช้มาตรการบังคับ ETS ในปี 2572 ซึ่งคาดว่าในระหว่างปี 2568 ถึงปี 2572 จะสามารถออกมาตรการบังคับรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ระดับนิติบุคคล และสร้างความพร้อมให้กับภาคส่วนต่าง ๆ สำหรับการใช้มาตรการบังคับ กลไกราคา ETS ตามลำดับต่อไป
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังสามารถพิจารณาเพิ่มสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เพื่อจัดเก็บภาษีคาร์บอนได้เพิ่มขึ้นด้วย โดยกฎหมายภาษีสรรพสามิต สามารถสร้างกลไกราคาคาร์บอนภาคบังคับได้ด้วยการจัดเก็บภาษีคาร์บอนจากสินค้าที่อยู่ในพิกัดสินค้าภายใต้ขอบข่ายของพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ได้อีกทางหนึ่ง
ข้อเสนอที่ 3: ปลูกป่าเพิ่มพื้นที่สีเขียว เป้าหมายเพิ่มพื้นที่ป่า 55 % ตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ด้านป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) มีเป้าหมายเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ได้ 55% ของประเทศ และแก้ปัญหาโลกเดือด ซึ่งทุกภาคส่วนต่างลงความเห็นว่าต้องฟื้นฟูโลกสีเขียวให้กลับคืนมา โดยใช้แนวทางการดำเนินงานป่าชุมชน ที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยได้กำหนดให้ประเทศไทยมีพื้นที่สีเขียว 55% ของพื้นที่ประเทศ แบ่งเป็น
1) พื้นที่ป่าธรรมชาติ 35% หรือ 113 ล้านไร่
2) พื้นที่ป่าเศรษฐกิจเพื่อการใช้ประโยชน์ 15% หรือ 48 ล้านไร่ และ
3) พื้นที่สีเขียวในเขตเมืองและชนบท 5% หรือ 16 ล้านไร่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรสนับสนุนป่าชุมชน ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าธรรมชาติที่เป็นเป้าหมายเพิ่มพื้นที่สีเขียวของประเทศ โดยชุมชนช่วยปกป้องดูแลรักษาป่าชุมชน ป้องกันไม่ให้เกิดไฟป่า ลดการเปลี่ยนแปลงสภาพป่า ตลอดจนปลูกต้นไม้เพื่อฟื้นฟูสภาพป่าให้มีศักยภาพในการกักเก็บและดูดกลับก๊าซเรือนกระจก โดยชุมชนจะได้รับประโยชน์จากการกักเก็บคาร์บอน ซึ่งสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจเข้ามาสนับสนุน เสริมศักยภาพให้กับภาคประชาชนในการดูแลป่าชุมชน โดยได้รับสิทธิประโยชน์การแบ่งปันคาร์บอนเครดิตให้กับชุมชนและผู้สนับสนุนได้
ข้อเสนอที่ 4: สนับสนุนให้มีมาตรการลดหย่อนทางภาษี ให้กับ ผู้ซื้อ-ผู้ขาย คาร์บอนเครดิต โดยสร้างการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ภาครัฐ ภาคประชาชน ด้วยการลดหย่อนภาษี ให้กับ ผู้ซื้อ–ผู้ขาย คาร์บอนเครดิต จากโครงการที่มีความสำคัญในการสนับสนุน Low Carbon Economy ตามแผนระยะยาว LT-LEDS ได้แก่
1) โครงการ T-VER ภายใต้ Thailand Voluntary Emission Reduction
2) โครงการปลูกป่าเพิ่มพื้นที่สีเขียว และ
3) Carbon Capture Utilization and Storage (CCUS)1)
ทั้งนี้ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจะเป็นแรงจูงใจ เพื่อกระตุ้นให้ภาคส่วนต่าง ๆ พัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศที่เป็นมิตรต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สอดคล้องกับทิศทางโลก และช่วยให้ประเทศไทยมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality 2050 และ Net Zero GHG Emissions 2065
เปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

ที่มาและการปรับตัว
จากสถานการณ์ที่โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศในการรับมือกับปัญหาดังกล่าว โดยหนึ่งในความร่วมมือที่สำคัญเกิดขึ้นในที่ประชุม COP ครั้งที่ 21 ได้แก่ “ความตกลงปารีส” (Paris Agreement) ซึ่งครอบคลุมเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และโครงสร้างทางการเงิน รวมถึงการจัดทำข้อตกลง “การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” (Nationally Determined Contributions: NDCs) ของประเทศภาคี
นอกจากนี้ ยังมี “มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน” (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ซึ่งเป็นมาตรการที่สหภาพยุโรป (EU) ใช้ในการเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้นำเข้าสินค้าที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงในกระบวนการผลิต นอกจากนี้ มาตรการที่คล้ายกันนี้ยังคาดว่าจะถูกบังคับใช้ในประเทศอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ในอนาคต
การดำเนินการของไทยและแนวทางเชิงกลยุทธ์
สำหรับประเทศไทย รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30–40% ภายในปี 2573 นอกจากนี้ ยังได้เร่งจัดทำร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. … เพื่อสนับสนุนการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2608 สำหรับแนวทางเชิงกลยุทธ์เพื่อบรรลุเป้าหมาย รูปแบบเศรษฐกิจที่สามารถใช้เป็นกรอบแนวทางหลัก ได้แก่ “เศรษฐกิจสีเขียว” ที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และกระจายความมั่งคั่ง รวมถึง “เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ”
การปรับตัวเพื่อการลดก๊าซเรือนกระจกและเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำจะต้องเริ่มจากการปรับโครงสร้างพลังงาน โดยเพิ่มสัดส่วนของการผลิตและการใช้พลังงานทางเลือก และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่การเปลี่ยนแปลงในภาคการคมนาคม สามารถดำเนินการได้โดยเปลี่ยนไปสู่การใช้ยานพาหนะที่รองรับเชื้อเพลิงที่ผลิตจากกระบวนการที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ เช่น ยานพาหนะไฟฟ้า (EV) หรือยานพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิงทางเลือก นอกจากนี้ การปรับกระบวนการผลิต (Manufacturing Process) ให้ปล่อยคาร์บอนต่ำตลอดห่วงโซ่อุปทาน จะสามารถตอบสนองต่อมาตรการด้านคาร์บอน โดยเฉพาะในภาคการค้าระหว่างประเทศได้ และสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันเนื่องจากจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่คำนึงถึงสินค้าที่ผลิตจากกระบวนการที่ปล่อยคาร์บอนต่ำได้
