การเปลี่ยนใหญ่ประเทศไทยด้านแรกที่เราต้องทำให้สำเร็จ เพื่อให้พร้อมรับมือกับ The Great Disruption ที่กำลังเกิดขึ้น ก็คือ การแก้ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การซ่อมฐานราก” ของระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย ที่ได้อ่อนแอลงอย่างน่ากังวลใจในช่วงที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องเข้าไปรับผิดชอบดูแล ช่วยบรรเทาปัญหา จนกระทั่งกลายเป็นภาระทางการคลังและงบประมาณที่ยิ่งใหญ่ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกปี ซึ่งการทำให้ฐานรากกลับมาเข้มแข็ง สามารถยืนบนขาของตนเอง จะช่วยปลดปล่อยศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในชุมชนต่างๆ นำคนไทยทุกคนมาเป็นพลังของประเทศ นำไปสู่การพัฒนาที่สมดุล ช่วยกระจายความสำเร็จของการพัฒนา จากส่วนกลางไปสู่ภาคส่วนต่างๆ รวมทั้ง ช่วยสร้างโอกาสและความเสมอภาคในสังคมไทยในที่สุด
นับตั้งแต่ปี 2500 เป็นต้นมา การพัฒนาประเทศของไทยในภาพรวม ได้ทำให้เศรษฐกิจไทยก้าวหน้ามีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด กลายเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำของกลุ่ม Middle Income Country ของโลก อย่างไรก็ตาม ผลดีจากการพัฒนาดังกล่าวยังคงกระจุกตัวอยู่ในบางพื้นที่ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต สงขลา นครราชสีมา ขอนแก่น อยุธยา และชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของไทย ขณะที่ชนบท ตำบล หมู่บ้านต่างๆ ได้อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง หนุ่มสาวอพยพย้ายถิ่นฐานออกจากพื้นที่ ไปหางานทำในเมืองใหญ่ ครอบครัวกลายเป็นครอบครัวแหว่งกลาง มีแต่ผู้สูงอายุและเด็ก มีรายได้ไม่พอรายจ่าย มีหนี้ทั้งจาก ธกส. จากธนาคารออมสิน และจากนอกระบบ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ทำให้ต้องสูญเสียที่ดินทำกินให้กับกลุ่มนายทุน ต้องไปบุกรุกทำลายป่า ทำลายแหล่งน้ำ และความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ยิ่งทำให้ผลผลิตทางการเกษตรและรายได้ในแต่ละปีลดลงมากขึ้น นอกจากนี้ คนในกลุ่มเกษตกรเหล่านี้ ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากต่างประเทศ และจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
การที่คนไทยในชนบทกว่า 20 ล้านคนพึ่งพาตนเองไม่ได้ หมายความว่า ประชาชนที่เคยเป็นพลังสำคัญของประเทศ คนในกลุ่มเกษตรกรที่เคยเป็นกระดูกสันหลังของชาติ กำลังประสบปัญหาครั้งใหญ่ ซึ่งเนื่องจากคนเหล่านี้เป็นฐานรากหลักของประเทศ หากฐานรากคลอนแคลน โคนไม้ รากไม้เริ่มเสื่อมสภาพ เน่าเสีย ระบบเศรษฐกิจและสังคมไทยก็จะต้องเผชิญกับความขัดแย้งครั้งใหญ่ในอนาคต ที่ช่องว่างของการพัฒนา ความเหลื่อมล้ำของรายได้ระหว่างคนที่มีกับคนที่ไม่มี สะสมตัวจนกลายเป็นการเผชิญหน้าระหว่างชนชั้น ที่สามารถลุกลามกระทบต่อความมั่นคงของชาติในที่สุด
“ถ้าไม่ซ่อมฐานรากของเราให้เข้มแข็ง ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกด้วยความไม่พร้อม”
ในเรื่องนี้ รัฐบาลไทยชุดต่างๆ ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามที่จะช่วยดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบางต่างๆ อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา ได้จัดเงินช่วยเหลือและเงินสวัสดิการในรูปแบบต่างๆ ให้กับคนในกลุ่มเปราะบาง ทั้งในส่วนของเงินช่วยเหลือผู้พิการ เงิน ช่วยเหลือผู้สูงอายุ ตลอดจนผ่านบัตรสวัสดิการของรัฐ ที่ให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งช่วยให้คนเหล่านี้มีรายได้ในการยังชีพในระดับหนึ่ง และทำให้จำนวนคนจนที่มีรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคต่ำกว่าเส้นของความยากจนในประเทศไทย ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลา 15 ปี ระหว่างปี 2550-2564 จากประมาณ 12.7 ล้านคนมาเหลืออยู่เพียงประมาณ 4.4 ล้านคน และทำให้ Gini Coefficient ด้านรายได้ของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน จากประมาณ 0.499 เป็น 0.430 ในช่วงเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าที่เกิดขึ้นนั้นเป็นภาพลวงตาของความสำเร็จ โดยในความเป็นจริงแล้ว ประชาชนจำนวนมากยังมีปัญหาอย่างยิ่งในการสร้างรายได้ด้วยตนเอง โดยหากหักเงินช่วยเหลือต่างๆ ที่รัฐบาลให้กับกลุ่มคนต่างๆ ออกไปแล้ว จะพบว่า จำนวนคนจนใต้เส้นความยากจนไม่ได้ลดลง และความเหลื่อมล้ำด้านรายได้หรือ Gini Coefficient ด้านรายได้ของประเทศลดลงเพียงเล็กน้อย ทั้งๆ ที่รัฐบาลได้พยายามจัดสรรงบประมาณ มากกว่า 1 ล้านล้านบาทในแต่ละปี ลงไปในยุทธศาสตร์สร้างโอกาสและความเสมอภาคในสังคม และยุทธศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ปัญหาในบางมิติ เช่น Wealth Inequality หรือความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่ง ได้เพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวลใจ โดยเฉพาะด้านการถือครองทรัพย์สิน การถือครองที่ดิน ซึ่งที่ดินทำกินของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร ได้หลุดมือมาเป็นของกลุ่มนายทุนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบัน กลุ่มคนที่รวยสุด 20% ถือครองที่ดินของประเทศ มากกว่า 80% ขณะที่กลุ่มคนที่จนสุด 20% ถือ ครองที่ดินน้อยกว่า 0.25% ต่างกันถึง 300 เท่า
ถ้าเราไม่เปลี่ยนใหญ่ในการแก้ไขปัญหาของความเหลื่อมล้ำ ไม่พยายามซ่อมฐานรากให้เข้มแข็ง ประเทศไทยจะต้องเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของโลก เผชิญกับ The Great Disruption ด้วยความไม่พร้อม จากความอ่อนแอในประเทศที่เกิดจากสังคมที่แตกแยก จากปัญหาที่สะสมแฝงเร้นที่ฐานราก นักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 66 ได้คัดเลือกข้อเสนอที่จะเป็น Game Changers ในจุดเปลี่ยนสำคัญ 3 จุด ที่เป็น Center of Gravity ของปัญหา ที่จะมีส่วนช่วย “ซ่อมฐานราก” อย่างมีนัยยะสำคัญ คือ การลงทุนในระบบการศึกษา การพัฒนาระบบน้ำทั้งประเทศ ตลอดจน การสานพลังเอกชนลดเหลื่อมล้ำ

