หัวใจของความสำเร็จของชาติ ไม่ใช่จำนวนแรงงาน แต่เป็น “คุณภาพและทักษะของคน” ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ และตอบโจทย์สถานการณ์โลกยุคใหม่ได้จริง นำไปสู่หัวใจของการเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศในที่สุด ทั้งนี้ ผลจากการศึกษาต่างๆ ชี้ชัดตรงกันว่า เศรษฐกิจไม่อาจเติบโตโดยปราศจากการจัดการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ เพราะคุณภาพของแรงงานในสังคมนั้นๆ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกำหนดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว กำหนดขีดความสามารถทางการแข่งขัน รวมถึงความเหลื่อมล้ำในระบบเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้น กระบวนการสร้างทักษะของคนตั้งแต่เกิดจนเข้าสู่ตลาดแรงงาน จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของไทยในการพัฒนาประเทศตามที่ปรารถนามุ่งหวังไว้
ปัญหาระบบการศึกษาไทย
สถานการณ์ปัจจุบันของการศึกษาไทยพบว่า คุณภาพการศึกษาไทยตกต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ สะท้อนจากผลคะแนนสอบ PISA ในปี 2565 ที่ต่ำสุดในรอบ 20ปี ชี้ให้เห็นว่าความสามารถเด็กไทยถดถอยลงอย่างต่อเนื่องและห่างจากคะแนนเฉลี่ยกลุ่มประเทศ OECD มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (รูปที่ 8) ปัญหาหลักๆ ของคุณภาพการศึกษาไทย
ความเหลื่อมล้ำ ที่ยังคงเป็นปัญหาสำคัญในการเข้าถึงโอกาสในการศึกษา และคุณภาพการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท
ประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร ถึงแม้ไทยมีสัดส่วนการจัดสรรงบประมาณของรัฐให้กับการศึกษาในระดับที่สูง ใกล้เคียงกลุ่มประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาดี แต่ทว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนไทยยังดูไม่ไปในทิศทางที่สอดคล้องกับงบประมาณที่ใช้ไปเท่าใดนัก

โรงเรียนขนาดเล็ก การจัดสรรทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพส่งผลให้โรงเรียนขนาดเล็กที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศจำนวน 14,996 แห่ง (รูปที่ 9) ซึ่งไม่สามารถจัดการศึกษาที่มีคุณภาพได้ผลสอบ O-NET ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในปี 2564 พบว่า โรงเรียนขนาดเล็กมีคะแนนต่ำที่สุด สะท้อนถึงคุณภาพการศึกษาที่เป็นปัญหาในโรงเรียนขนาดเล็กของไทย ยิ่งไปกว่านั้น ทิศทางโรงเรียนขนาดกลางและขนาดใหญ่ในประเทศ กำลังจะกลายเป็นโรงเรียนขนาดเล็กเพิ่ม เป็นผลมาจากการลดลงของจำนวนนักเรียนตามอัตราการเกิดของประชากรที่ลดลง ทำให้งบประมาณที่ลงไปถึงโรงเรียนลดลงเช่นกัน แนวโน้มคุณภาพการศึกษาจึงอาจต่ำลง และมีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาสูงขึ้น ซึ่งจะสร้างความเสียหายแก่โอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในหลายมิติ

หลักสูตรการศึกษาที่ยังใช้รูปแบบดั้งเดิม
ในโลกที่เทคโนโลยีหมุนเร็วกว่าเมื่อก่อนถึง 20 เท่า (เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว,2566) และเข้ามามีบทบาทอย่างมากในชีวิตประจำวันและในโลกของธุรกิจ หลายธุรกิจจึงพยายามปรับตัวให้สอดรับกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ส่งผลกระทบต่อเนื่องกับความต้องการแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป แรงงานฝีมือ และไร้ฝีมือ (Semi-Skiled & Unskilled Labor) กำลังถูกทดแทนด้วยเครื่องจักรกล และการพัฒนาของ AI ที่รวดเร็ว มีการวิเคราะห์และสั่งการได้แม่นยำมากขึ้น อาจเข้ามาทดแทนแรงงานไร้ฝีมืออย่างสมบูรณ์ในไม่ช้า ดังนั้น ปัญหาเรื่องการพัฒนาคุณภาพและทักษะของคนที่ไม่ตอบโจทย์ตลาดยุคใหม่จึงยิ่งมีผลเด่นชัดมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ หลักสูตรที่ล้าสมัยไม่อาจตอบโจทย์เด็กยุคปัจจุบันได้ เนื่องจากเด็กยุคใหม่ไม่ได้มีเป้าหมายโลกอาชีพแบบที่เคยเป็นมา หลายคนต้องการทำงานมากกว่า 1 งานไปพร้อมกัน และหลายคนต้องการทำงานรูปแบบ Work Anywhere โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ทำให้หลักสูตรแกนกลางปัจจุบันของไทยที่ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 2551 หรือเป็นระยะเวลา 16 ปีมาแล้ว จึงค่อนข้างล้าสมัยและไม่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้สมรรถนะที่จำเป็นในโลกยุคใหม่ เมื่อเปรียบเทียบกับระบบการศึกษาประเทศอื่นเช่น ฟินแลนด์ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ที่มีการปรับเปลี่ยนหลักสูตรทุก 5-10 ปี ทั้งนี้ เด็กไทยจะไม่สามารถอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ถ้ายังเรียนรู้อย่างท่องจำหรือเรียนรู้แล้วไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในโลกที่กำลังเปลี่ยนไป จึงต้องยกระดับการเรียนรู้และครูต้องสามารถตอบโจทย์การสอนเพื่อสร้างทักษะที่เหมาะสมกับโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วในปัจจุบัน

Game Changers เพื่อ “ลงทุนในคุณภาพการศึกษา”
จากปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ต้นตอที่แท้จริงของปัญหาคือ “กระบวนการสร้างทักษะของคน” ซึ่งสร้างปัญหาเรื้อรังระยะยาว หากขาดการตระหนักและจัดการอย่างถูกจุด ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบต่อคุณภาพและทักษะคน ระดับรายได้ประชากร ขีดความสามารถทางการแข่งขันในเวทีโลก และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้นการปรับเปลี่ยนกระบวนการสร้างทักษะคนจึงมีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ และจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงทั้งกระบวนการศึกษาไทย โดยเริ่มตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนโตเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยมีข้อเสนอดังนี้
ข้อเสนอที่ 1: ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กเล็ก การลงทุนในทุนมนุษย์ในช่วงปฐมวัยมีความสำคัญมาก เนื่องจากทักษะในช่วงเริ่มต้นส่งผลต่อประสิทธิภาพของการลงทุนในช่วงหลัง (วีระชาติ กิเลนทอง, 2559) เนื่องจากเด็กปฐมวัยที่มีทักษะเริ่มต้นดีกว่ามีแนวโน้มที่จะเรียนรู้ได้เร็วกว่าหรือมีทักษะส่วนเพิ่มที่สูงกว่า (รูปที่ 10: นิชรา เรืองดารกานนท์และคณะ, 2549)

ปฐมวัยจึงเป็นช่วงเวลาที่ให้ผลของการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เต็มศักยภาพ (รูปที่ 11)โดยเฉพาะกับกลุ่มเด็กด้อยโอกาส การจัดการศึกษาระดับปฐมวัยที่มีคุณภาพแก่เด็กเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลดีแค่กับตัวเด็กเท่านั้น แต่สังคมยังได้รับผลตอบแทนสูงจากการลงทุนลักษณะนี้อีกด้วย (Heckman, 2011) ดังนั้น นโยบายที่มุ่งแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในทุนมนุษย์ จึงควรเริ่มให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อเตรียมพร้อมเด็กไทยให้สามารถพัฒนาได้อย่างมีศักยภาพและเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติในอนาคต

“การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด”
- การพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากการพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นการลงทุนในอนาคตของประเทศและเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความมั่นคงและเติบโตของชาติ
- การให้เงินอุดหนุนเด็กเล็กตั้งแต่ครรภ์มารดาถึง 6 ปี แบบถ้วนหน้า เพื่อขจัดการตกหล่นไม่ได้รับเงินอุดหนุนถึงร้อยละ 30 ของครัวเรือนที่เข้าข่ายมีสิทธิรับเงินอุดหนุน ระบบสวัสดิการของไทยได้ตอบโจทย์ครอบคลุมอย่างถ้วนหน้าเกือบครบในทุกกลุ่มอายุแล้ว แต่สวัสดิการสำหรับกลุ่มเด็กเล็กยังไม่ครอบคลุมอย่างถ้วนหน้า การให้เงินแบบถ้วนหน้าสำหรับโครงการเงินอุดหนุนเด็กเล็ก ผลการศึกษาของทีดีอาร์ไอ ประเมินว่าใช้เงินไม่เกิน 0.13% ของ GDP และแนวโน้มจะลดลงเรื่อยๆ ตามการเกิดที่น้อยลง และในปี 2572 จะใช้งบประมาณเพียง 0.1% ของ GDP
- โครงการเปลี่ยนศูนย์เด็กเล็ก เช่น การเปลี่ยนศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัยที่อยู่ภายใต้สังกัดองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผลการประเมินคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องปรับปรุงเป็นจำนวนมากให้แล้วเสร็จภายในปี 2570 โดยใช้โมเดลที่ประสบความสำเร็จเช่น โครงการ ICAP ของมูลนิธิยุวพัฒน์ ที่เป็นการลงทุนเสริมสร้างกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ของเด็กในศูนย์เด็กเล็ก รวมทั้งจัดอบรมบุคลากรให้ความสำคัญกับการดูแลเด็ก เป็นหัวใจของการสร้าง IQ ที่มีนัยสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพในตัวเด็กระยะยาว
- คุณภาพการศึกษาและคุณภาพการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครอง เป็นกระบวนการสำคัญในการสร้างทุนมนุษย์ (วีระชาติ กิเลนทอง, 2559) โครงการพัฒนาการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองผ่านการเยี่ยมบ้านที่จะช่วยให้ผู้ปกครองมีความพร้อมในการพัฒนาเด็กปฐมวัยมากขึ้น โดยใช้โมเดลที่ประสบความสำเร็จ เช่นกิจกรรมการเยี่ยมบ้านของหลักสูตร Reach Up สถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)
ข้อเสนอที่ 2: ปรับระบบการบริหารทรัพยากรด้านการศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้ทรัพยากรเท่าเดิม แต่เพียงแค่นำมาจัดสรรใหม่ แล้วทำให้คุณภาพการดูแลเด็กของเราเปลี่ยนแปลงไป จากปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญต่อประสิทธิภาพของการศึกษาไทย อันเนื่องมาจากการใช้งบประมาณอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การพัฒนาเด็กพื้นที่ห่างไกลมีการศึกษาและมีคุณภาพไม่เป็นไปอย่างที่ควร ดังนั้นการพิจารณาการจัดสรรใหม่ โดยใช้งบประมาณที่มี ในการสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาเพื่อทำให้คุณภาพการดูแลเด็กไทยเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น การจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและตามบริบทของโรงเรียน จึงเป็นสิ่งที่ควรปรับแก้อย่างเร่งด่วน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำแฝงในระบบโรงเรียนขนาดเล็กโดยเฉพาะพื้นที่ชนบท นอกจากนี้ การจัดสรรงบประมาณตามความคุ้มค่าในการลงทุนของแต่ละช่วงวัย โดยให้เด็กปฐมวัยได้รับงบประมาณมากที่สุดก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้การจัดสรรงบประมาณมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ข้อเสนอที่ 3: ยกระดับหลักสูตรการสอน ที่มุ่งเน้นการสร้างแรงงานที่มีคุณภาพและตอบโจทย์โลกสมัยใหม่ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งสถานการณ์สังคมสูงวัยที่ประชากรเกิดใหม่ลดลงในประเทศไทย ทำให้เกิดอาชีพและธุรกิจรูปแบบใหม่ ส่งผลต่อความต้องการแรงงานที่มีทักษะสอดรับกับธุรกิจสมัยใหม่ เมื่อทุกคนต้องเผชิญกับโลกหมุนเร็วเหมือนกัน ความรู้หลายอย่างในวันนี้จะล้าสมัยลงเร็ว เทคนิคหนึ่งที่ทุกช่วงวัยควรมี คือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา หรือการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) จึงควรส่งเสริมให้เกิดทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตในทุกช่วงวัย มุ่งเน้นที่เด็กประถมศึกษา ซึ่งงานวิจัยของคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่าเป็นช่วงวัยที่เหมาะสมในการส่งเสริมให้เกิดทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้มากที่สุด เนื่องจากมีความพร้อมทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา และเป็นช่วงวัยแห่งการพัฒนาการเรียนรู้และทักษะต่างๆ ที่ค่อนข้างชัดเจน (พรเพ็ญ สดศรีชัย, 2566)
ข้อเสนอ 4: แก้ไขปัญหาโรงเรียนเล็กในชนบท โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรงบประมาณ และสร้างการศึกษาให้เด็กได้อย่างมีคุณภาพ
- การควบรวมโรงเรียนมีทรัพยากรน้อยเข้าด้วยกัน เพื่อแก้ปัญหาเบี้ยหัวแตก ทั้งในแง่ของโครงสร้างพื้นฐานในโรงเรียนที่เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) หรือครูที่จะได้สอนห้องเรียน
- ลงทุนในคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็ก โดยจัดคลัสเตอร์โรงเรียน ให้ ผู้อำนวยการหนึ่งคนดูแลหลายโรงเรียนในตำบล ตลอดจนแก้ปัญหาเรื่องการเดินทางโดยใช้รถโรงเรียนในตำบล สร้าง education platform/eLearning
- ออกมาตรการสร้างแรงจูงใจ เพื่อดึงดูดครูตามความต้องการแต่ละพื้นที่ ให้กับโรงเรียนขนาดเล็กในที่ห่างไกลที่ไม่สามารถยุบรวมได้ เพราะการยุบรวมโรงเรียนเหล่านี้จะทำให้นักเรียนเข้าถึงการศึกษาได้ยากขึ้น
- สนับสนุนทรัพยากรอย่างเพียงพอ ร่วมกับการระดมทรัพยากรจากภาคเอกชนและภาคประชาสังคม
- สนับสนุนโรงเรียนขนาดเล็กยกระดับพัฒนาเป็น “โรงเรียนนวัตกรรมของชุมชน” สามารถรับนักศึกษาฝึกประสบการณ์สอนจากสถาบันการศึกษาครูได้ ซึ่งเป็นวิชาเกี่ยวกับนวัตกรรมการเรียนสอนการวัดผลแบบบูรณาการแบบ Active Learning บนหลักสูตรฐานสมรรถนะได้
- สนับสนุนให้โรงเรียนขนาดเล็กที่ประสงค์พัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยตนเองเป็นสถานศึกษาพิเศษ
- ส่งเสริมโรงเรียนขนาดเล็กให้เปิดพื้นที่เป็นศูนย์การเรียนรู้ตลอดชีวิต สำหรับทุกช่วงวัยของชุมชน โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง ชุมชน และเครือข่ายฯ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาสู่คุณภาพที่หลากหลายในทุกระดับได้
- สนับสนุนให้โรงเรียนขนาดเล็กที่มีข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ให้เป็นโรงเรียนนวัตกรรมชุมชนถ่ายโอนไปสังกัดท้องถิ่นได้ เช่น โรงเรียนที่ตั้งอยู่บนภูเขา ห่างไกล เกาะแก่ง และโรงเรียนไม่พร้อมที่จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยตนเอง

ข้อเสนอ 5: การสร้างโรงเรียนรูปแบบใหม่ที่มุ่งเน้นส่งเสริมการเรียนการสอนสร้างทักษะเด็กไทยให้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต และยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันในเวทีโลกไปพร้อมๆ กัน ตัวอย่างเช่น โรงเรียนนวัตกรรม ที่ส่งเสริมการใช้และสร้างนวัตกรรมในโรงเรียน เน้นพัฒนาทักษะที่จำเป็นในอนาคตให้ผู้เรียน เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนด้วยการใช้เทคโนโลยี AI มาช่วยสอนร่วมกับครู ยกตัวอย่างเช่น สถาบัน Kosen ลาดกระบัง หรือ สถาบัน Kosen มจธ. ซึ่งเป็นต้นแบบที่ประสบความสำเร็จในการสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพในกลุ่มวิศวกรนักปฏิบัติ (Practical Engineers)
ข้อเสนอ 6: ปลดล็อคมหาวิทาลัยชั้นนำต่างชาติสนใจเข้ามาตั้งสถาบันภายในประเทศไทย เปลี่ยนเมืองไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางการศึกษานานาชาติที่แท้จริงด้วยการปรับกฎเกณฑ์ให้เอื้อต่อการเข้ามาพัฒนาและลงทุนด้านการศึกษาของมหาวิทลัยข้ามชาติ สู่โอกาสการพัฒนาเด็กไทยที่เหนือขึ้นไปอีกระดับ
ข้อเสนอ 7: การจูงใจภาคเอกชน (และประชาชน) ให้เข้ามามีบทบาทในการร่วมลงทุน และสนับสนุนความเสมอภาคทางการศึกษา และการพัฒนาคุณภาพทุนมนุษย์อย่างยั่งยืน โดยไม่จำเป็นต้องรอพึ่งรัฐบาลเพียงอย่างเดียว โดยการลดหย่อนภาษีหรือใช้มาตรการกึ่งการคลัง อาทิ การออกพันธบัตรและตราสารต่างๆ ได้แก่ การออกตราสารหนี้เพื่อสังคม (Social Impact Bond: SIB) เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับการระดมทุนเพื่อการศึกษา
ทั้งนี้ การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดและควรเริ่มให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อันจะให้ประโยชน์ถึงสามต่อ จากการที่ไทยจะมีทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพในการพัฒนาประเทศ พาครอบครัวออกจากกับดักความยากจน และพาประเทศออกจากกับดักรายได้ปานกลางได้ในที่สุด (กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, 2564)
การพัฒนาแรงงานนวัตกรคุณภาพ ผ่านโครงการ Thai KOSEN
ในยุคอุตสาหกรรม 4.0 ที่เทคโนโลยีอย่าง AI, IoT, และ Automation กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความต้องการบุคลากรที่มีทักษะสูงและสามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีขั้นสูงจึงเพิ่มขึ้น แต่ประเทศไทยยังเผชิญปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะและนวัตกรรมที่เพียงพอ โครงการพัฒนาแรงงานคุณภาพจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะในสาขาวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม การนำระบบการศึกษาจากญี่ปุ่น เช่น สถาบัน KOSEN มาใช้ในไทย จะช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาและเตรียมบุคลากรให้พร้อมรับความท้าทาย พร้อมสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน

สถาบัน KOSEN มีศักยภาพในการผลิตวิศวกรคุณภาพ โดยเปิดรับนักเรียนตั้งแต่อายุ 15 ปี โดยเรียน 5 ปี แล้วสามารถเข้าสู่การทำงานได้ทันที หรือศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาอีก 2 ปี โครงการเพิ่มศักยภาพกำลังคนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ได้รับการสนับสนุนจากเงินกู้ขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) วงเงินรวม 3,500 ล้านบาท เพื่อพัฒนาการศึกษาในรูปแบบ KOSEN ในไทย สร้างบุคลากรที่ตอบโจทย์ความต้องการของบริษัทญี่ปุ่นที่ลงทุนในไทยกว่า 8,000 แห่ง
เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2561 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินโครงการทุนการศึกษาเพื่อศึกษาต่อ ณ สถาบัน KOSEN ประเทศญี่ปุ่น โดยในปีการศึกษา 2561 และ 2562 ได้มอบทุนการศึกษา 24 ทุน จากนั้นในวันที่ 4 ธันวาคม 2561 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยมีการจัดตั้งสถาบัน Thai KOSEN จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ สถาบันโคเซ็น สจล. แห่งสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และสถาบันโคเซ็น มจธ. แห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
นอกจากนี้ยังมีการมอบทุนการศึกษาเพิ่มเติมอีก 72 ทุน สำหรับนักเรียนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เพื่อศึกษาต่อ ณ สถาบัน KOSEN ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ปีการศึกษา 2563 เป็นต้นมา รวมแล้วมีนักเรียนจากโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบัน KOSEN ประเทศญี่ปุ่นกว่า 90 คน
ในช่วง 10 ปีแรกของโครงการ ตั้งเป้าการผลิตวิศวกรจากหลักสูตร 5 ปี จำนวน 1,080 คน โดยนักเรียนทุนรุ่นแรกจะสำเร็จการศึกษาในปีการศึกษา 2567 รวม 24 คน และมีนักเรียนที่ได้รับทุนไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี จำนวน 72 ทุน ครบทุกชั้นปีในปีการศึกษาหน้า สถาบัน KOSEN แห่ง สจล. และ มจธ. จะเริ่มจัดการเรียนการสอนหลักสูตรปริญญาตรีต่อเนื่อง (Advanced Course) เพื่อรองรับผู้สำเร็จการศึกษาชั้นปีที่ 5 เข้าศึกษาต่อและทำงานในสถานประกอบการไปพร้อม ๆ กัน
โครงการ Thai KOSEN ยังสร้างความร่วมมือกับบริษัทในประเทศไทยมากกว่า 30 แห่งในการฝึกงานและวิจัย ส่งผลให้นักเรียนได้รับประสบการณ์จริงและพร้อมเข้าสู่อุตสาหกรรมหลังสำเร็จการศึกษา โดยจากสถิติพบว่า นักเรียนที่จบการศึกษาจาก KOSEN มักมีบริษัทมากกว่า 32 แห่งที่เสนอตำแหน่งงานให้เลือก
ความสำเร็จของโครงการ Thai KOSEN เป็นการนำแนวคิดและวิธีการสอนของ KOSEN มาประยุกต์ใช้ในโรงเรียนและสถาบันการศึกษาอื่นๆ ในประเทศไทย ยกระดับมาตรฐานการศึกษาในด้านเทคนิคและวิศวกรรมศาสตร์ โครงการนี้ถือเป็นความสำเร็จที่โดดเด่นในการพัฒนากำลังคนที่มีทักษะสูงและความพร้อมในการทำงานในภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่นในด้านการศึกษาและเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว
โครงการ Integrated Child – Centered Active Learning project หรือ ICAP
โครงการ Integrated Child-Centered Active Learning Project (ICAP) เป็นโครงการที่มุ่งพัฒนาศักยภาพของเด็กปฐมวัยในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายหลักในการเสริมสร้างพัฒนาการที่ครอบคลุมทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการพัฒนาสมองส่วนหน้า (Executive Function) การเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง (Self-esteem) และการพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย
โครงการนี้เน้นการบูรณาการการเรียนรู้ผ่านการเล่น โดยยึดหลักการเรียนรู้ที่เด็กเป็นศูนย์กลาง ซึ่งวิธีการนี้ช่วยให้เด็กมีโอกาสพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ การแก้ปัญหา และการควบคุมตนเอง อันเป็นทักษะที่สำคัญต่อการพัฒนาสมองส่วนหน้า นอกจากนี้ การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่เป็นมิตรและสนับสนุน ยังช่วยส่งเสริมให้เด็กมีความเชื่อมั่นในตนเองและพัฒนาความภาคภูมิใจในตนเอง

กิจกรรมหลักในโครงการ ICAP ประกอบด้วย:
- การเรียนรู้แบบลงมือกระทำ (Active Learning): ส่งเสริมให้เด็กได้ลงมือทำจริง เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและเชื่อมโยงกับทักษะการคิดขั้นสูง
- การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก (Adult-Child Interaction): สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ใหญ่และเด็กเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการทางอารมณ์
- การจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (Learning Environment Setup): จัดสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเรียนรู้และกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก
- การประเมินพัฒนาการของเด็ก (Child Development Assessment): ติดตามและประเมินพัฒนาการของเด็กอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงการสอนให้ตรงกับความต้องการของเด็กแต่ละคน
จากการดำเนินงานของโครงการ ICAP ผลลัพธ์ที่ได้ชี้ให้เห็นว่าเด็กที่เข้าร่วมโครงการมีพัฒนาการในด้านต่างๆ อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในด้านทักษะการเรียนรู้ การสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์ และความมั่นใจในตนเอง นอกจากนี้ ผู้ปกครองและครูผู้สอนยังรายงานถึงความพึงพอใจต่อผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการ ซึ่งเป็นแรงสนับสนุนให้มีการขยายโครงการไปยังพื้นที่อื่นๆ เพื่อให้เด็กจำนวนมากขึ้นได้ประโยชน์จากการพัฒนาศักยภาพผ่านโครงการนี้
มูลนิธิเด็กน้อยพัฒนา (Dek Noi Pattana Foundation – DNPF)
มูลนิธิเด็กน้อยพัฒนา (DNPF) ก่อตั้งขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2560 ด้วยเป้าหมายในการสนับสนุนการพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นให้เด็กไทยทุกคนได้รับประโยชน์จากโปรแกรมการพัฒนาเด็กปฐมวัย (ECD) ที่มีคุณภาพสูง DNPF เชื่อมั่นว่าการลงทุนในพัฒนาการของเด็กในช่วงต้นชีวิตเป็นสิ่งสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตและการพัฒนาประเทศให้ก้าวจากสถานะประเทศรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง

การดำเนินงานและความร่วมมือ: DNPF ได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์และองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สุรินทร์ ซึ่งร่วมกันกำหนดมูลนิธิเด็กน้อยพัฒนาเป็นศูนย์ต้นแบบ (Model Centers) เพื่อสร้างมาตรฐานการพัฒนาและติดตามผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด
ผลการสำรวจและความสำเร็จ: ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม 2567 มูลนิธิได้ทำการสำรวจผลการพัฒนาของเด็กในศูนย์ต่างๆ ทั้งหมด 18 แห่ง พบว่าเด็กอายุ 2-3 ขวบ มีความสามารถและทักษะที่พัฒนาขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีมากกว่า 90% ของเด็กที่แสดงการพัฒนาในด้านต่างๆ เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลจากช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม 2566 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของโปรแกรมและการเติบโตที่ต่อเนื่องของเด็กๆ ในศูนย์ต้นแบบ
วิสัยทัศน์และผลกระทบ: DNPF มุ่งเน้นที่จะสร้างมาตรฐานสูงสุดในการพัฒนาเด็กปฐมวัยและผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายในระดับประเทศ การพัฒนาโปรแกรม ECD ที่มีคุณภาพสูงไม่เพียงแต่จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีในช่วงต้นชีวิต แต่ยังมีผลกระทบเชิงบวกต่อการเติบโตและการพัฒนาของประเทศโดยรวม
กล่าวโดยสรุป มูลนิธิเด็กน้อยพัฒนา (DNPF) เป็นองค์กรที่มีความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย ผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นและการสร้างศูนย์ต้นแบบที่มีการติดตามผลอย่างใกล้ชิด การสำรวจผลการพัฒนาของเด็กในศูนย์ต้นแบบได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จและการเติบโตที่ชัดเจนของเด็กๆ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการบรรลุเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กและการพัฒนาประเทศในระยะยาว